เงินบำนาญชราภาพสูตรใหม่ ใครได้เพิ่ม ได้ลด

อัปเดตแพตช์ใหม่สูตรบำนาญประกันสังคม มีอะไรที่เราต้องรู้บ้าง

เงินบำนาญชราภาพสูตรใหม่ ใครได้เพิ่ม ได้ลด

กดฟัง
หยุด
  • สูตรคำนวณเงินบำนาญประกันสังคมแบบใหม่ (CARE) ออกแบบมาเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับผู้ประกันตนมากขึ้น เพราะคำนวณโดยใช้เงินเดือนเฉลี่ยตั้งแต่เป็นสมาชิก ส่งมาก/น้อย ได้มาก/น้อย และ ช่วยลดช่องว่างจากเพดานเงินเดือน ปรับขึ้นลงแรง ในช่วง 60 เดือนก่อนเกษียณ ได้
  • สำหรับผู้ที่มีรายได้เกินเพดานฐานเงินเดือนขั้นต่ำ 15,000 บาท ตาม ม.33 สูตรคำนวณแบบใหม่จะทำให้ได้รับเงินบำนาญลดลงเล็กน้อย แต่จะถูกชดเชยด้วยการปรับเพดานที่ใช้คำนวณขึ้นเป็น 17,500 บาท ตั้งแต่ปี 2569 แทน
  • เงินบำนาญจากประกันสังคม เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในการวางแผนการเงินหลังเกษียณ ซึ่งอาจจะยังไม่ทำให้เกษียณสุขได้ ยังต้องวางแผนออมเพิ่มเติมผ่านทางเลือกอื่นๆ ด้วย เช่น ออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนลดหย่อนภาษี และประกันชีวิต เป็นต้น

เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 68 ที่ผ่านมา คณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดประกันสังคม) มีมติเห็นชอบ การปรับสูตรบำนาญชราภาพใหม่ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเท่าเทียมมากขึ้นให้กับผู้ประกันตน โดยคนที่จ่ายเงินสมทบมากหรือจ่ายมานาน จะได้เงินบำนาญเยอะกว่า เมื่อเทียบกับคนที่จ่ายน้อยหรือจ่ายสั้นกว่า แล้วการปรับสูตรบำนาญชราภาพ จะมีเรื่องอะไรที่ต้องรู้บ้าง K WEALTH สรุปความแตกต่างระหว่างสูตรใหม่และสูตรเก่า รวมถึงเรื่องที่ต้องเตรียมตัวมาให้ในบทความนี้


เปรียบเทียบสูตรใหม่ VS สูตรเก่า เงินบำนาญชราภาพ

ผู้ที่ได้รับผลจากการเปลี่ยนสูตร จะมีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ


  1. ผู้รับเงินบำนาญชราภาพแล้ว ประมาณ 800,000 คน กลุ่มนี้จะไม่มีใครได้รับเงินบำนาญลดลง ถ้าสูตรใหม่คำนวณแล้วได้เงินบำนาญมากกว่า จะปรับเพิ่มให้ทันที และ
  2. สมาชิกประกันสังคมตาม ม.33 และ ม.39 ที่จะขอรับเงินบำนาญชราภาพในอนาคต โดยต้องมีเงื่อนไข คือ อายุ 55 ปีขึ้นไป และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน โดยต้องส่งเงินสมทบประกันสังคมมาอย่างน้อย 180 เดือน (15 ปี) ขึ้นไป (กรณีส่งเงินสมทบน้อยกว่า 180 เดือน จะได้เป็นเงินบำเหน็จชราภาพ) แบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย ดังนี้
    1. ผู้ที่จะเริ่มขอรับเงินบำนาญชราภาพในช่วงเปลี่ยนผ่าน (ปี 2568-2573) โดยหาก:
    2. เริ่มรับเงินบำนาญในปี 2568-2569 จะใช้สูตรเก่า 100%

      เริ่มรับเงินบำนาญในปี 2570 จะใช้สูตรผสม ในอัตรา สูตรเก่า 80% : สูตรใหม่ 20%

      เริ่มรับเงินบำนาญในปี 2571 จะใช้สูตรผสม ในอัตรา สูตรเก่า 60% : สูตรใหม่ 40%

      เริ่มรับเงินบำนาญในปี 2572 จะใช้สูตรผสม ในอัตรา สูตรเก่า 40% : สูตรใหม่ 60%

      เริ่มรับเงินบำนาญในปี 2573 จะใช้สูตรผสมในอัตรา สูตรเก่า 20% : สูตรใหม่ 80%


    3. ผู้ที่จะเริ่มขอรับเงินบำนาญชราภาพในปี 2574 เป็นต้นไป จะใช้สูตรใหม่ (CARE) ทั้งหมด

สำหรับสูตรคำนวณเงินบำนาญใหม่ เรียกว่า สูตร Career-Average Revalued Earnings (CARE) จะเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา (คาดการณ์ว่าจะประกาศในช่วงปลายปี 68) ซึ่งปัจจุบันมีมติเห็นชอบจากคณะกรรมการประกันสังคมแล้ว อยู่ระหว่างจัดทำ Case Study ผลของการเปลี่ยนสูตรคำนวณ ภายใน 90 วัน หลังจากนั้น จะเปิดให้สมาชิกประกันสังคม ทำประชาพิจารณ์ภายใน 30 วัน


เปรียบเทียบสาระสำคัญระหว่างสูตรใหม่และสูตรเก่า ตามตารางด้านล่าง


นอกจากเรื่องสูตรในการคำนวณแล้ว จะปรับฐานเพดานเงินเดือนสูงสุดของสมาชิกตาม ม.33


จากตารางจะพบว่า ในปี 2569-2571 ปรับฐานเงินเดือนสูงสุด (ตาม ม. 33) เป็น 17,500 บาท ปี 2572-2574 ปรับเป็น 20,000 บาท และตั้งแต่ปี 2575 ปรับเป็น 23,000 บาท ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้เงินบำนาญของลูกจ้างที่มีเงินเดือนสูงกว่าเพดานตาม ม.33 ได้รับปรับเพิ่มสูงขึ้น ตามจำนวนเดือนที่ส่งเงินสมทบไปด้วย ในขณะที่ฐานเงินเดือนสูงสุด (เดิม) อยู่ที่ 15,000 บาท


ใครได้เพิ่ม ใครได้ลด

ตัวอย่างในการคำนวณ มีสมมติฐาน คือ เริ่มส่งเงินสมทบตั้งแต่ ม.ค. 2542 จนถึง ธ.ค. 2568 (เกษียณ) เป็นเวลา 27 ปี คิดเป็น 38% ของสูตรคำนวณเงินบำนาญ


ตัวอย่างที่ 1: นาย A ฐานเงินเดือน 15,000 บาท ส่งสมทบ ตาม ม.33 มาตลอด จนกระทั่ง 6 ปีหลังสุด เปลี่ยนมาสมทบด้วยฐานเงินเดือน 4,800 บาท ตาม ม.39 ส่งผลให้สูตรเก่า (คำนวณ 60 เดือนสุดท้าย) ได้เงินบำนาญ 1,824 บาทต่อเดือน (4,800x38%) กับ สูตรใหม่ (คำนวณตลอดช่วงที่สมทบ) ได้เงินบำนาญประมาณ 4,838 บาทต่อเดือน (ฐานเงินเดือนตลอดอายุสมาชิก มาจาก ((15,000x21ปี)+(4,800x6ปี))/27ปี) เท่ากับ (12,733 บาท x38%) จะเห็นว่าการคำนวณด้วยสูตรใหม่ ได้เงินบำนาญเพิ่มขึ้น 165%


ตัวอย่างที่ 2: นาย B ฐานเงินเดือน 15,000 บาท ส่งสมทบตาม ม.33 มาแค่ 5 ปี หลังจากนั้นส่งตาม ม.39 มาตลอด สูตรเก่า ได้เงินบำนาญ 1,824 บาทต่อเดือน กับ สูตรใหม่ ได้เงินบำนาญประมาณ 2,541 (ฐานเงินเดือนตลอดอายุสมาชิก มาจาก ((15,000x5ปี)+(4,800x22ปี))/27ปี)) เท่ากับ (6,688x38%) บาทต่อเดือน จะเห็นว่าการคำนวณด้วยสูตรใหม่จะได้เงินบำนาญเพิ่มขึ้น แต่ไม่มากเท่าตัวอย่างที่ 1


ทั้ง 2 ตัวอย่าง เป็นตัวอย่างของสมาชิกตาม ม. 39 ที่เพดานเงินเดือนปรับลดลง 68% (จาก 15,000 เหลือ 4,800 บาท) ทำให้สูตรเก่าได้รับบำนาญน้อยกว่าที่ควรจะเป็น การปรับมาคำนวณด้วยสูตรใหม่จะช่วยให้ผู้ประกันตนได้เงินบำนาญเพิ่มขึ้น


ตัวอย่างที่ 3: นาย C ส่งสมทบตามเพดานเงินเดือน 15,000 บาท มาตลอด เพื่อให้เปรียบเทียบได้ชัดเจน ขอคำนวณภายใต้สมมติฐานว่า นาย C ส่งสมทบต่อจนถึงสิ้นปี 2569 เป็นเวลา 28 ปี



การคำนวณด้วยสูตรเก่า จะได้เงินบำนาญ 6,122.50 บาทต่อเดือน หากคำนวณด้วยสูตรใหม่ จะได้เงินบำนาญ 5,960.27 บาท ซึ่งเป็นสูตรตามช่วงเปลี่ยนผ่าน คือ 80% ของสูตรเก่า + 20% ของสูตรใหม่ จะได้บำนาญประมาณ 6,090 บาทต่อเดือน การคำนวณตามสูตรใหม่แม้จะทำให้ได้รับเงินบำนาญลดลง แต่จะถูกชดเชยจากเพดานเงินเดือนที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 17,500 บาท ที่เริ่มสมทบตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป


ตัวอย่างที่ 4: นาย D เป็นกลุ่มลูกจ้างที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท จะได้เงินบำนาญใกล้เคียงสูตรเก่า เนื่องจากฐานรายได้ไม่แตกต่างกันมากและถูกคำนวณจากฐานเงินได้จริง


ตัวอย่างที่ 5: นาย E เป็นกลุ่มลูกจ้างที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท แต่ช่วงใกล้เกษียณ มีรายได้เกินเพดาน กลุ่มนี้ สูตรเก่าจะทำให้ได้บำนาญสูงกว่า ส่วนสูตรใหม่ จะทำให้ได้บำนาญลดลงมา และสะท้อนความเท่าเทียมกันในการส่งเงินสมทบมาก ควรได้ผลประโยชน์มาก ส่งเงินสมทบน้อยได้ผลประโยชน์น้อย ยกตัวอย่างเช่น สมทบด้วยเงินเดือน 10,000 บาท ตลอด 22 ปี แต่ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น(เกิน 15,000 บาท) ในช่วง 5 ปีสุดท้าย ทำให้สมทบตามเพดานเงินเดือน 15,000 บาท ตาม ม. 33 จะทำให้สูตรเก่า ได้เงินบำนาญ 15,000 บาท (เฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย)x 38% = 5,700 บาท ในขณะที่สูตรใหม่ ได้เงินบำนาญ ((10,000x22)+(15,000x5)) = 10,925.93 บาท (เฉลี่ยตลอดอายุสมาชิก) x 38% = 4,151.85 บาท


ตัวอย่างทั้งหมดนี้ เป็นเพียงการวิเคราะห์ให้เห็นภาพผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสูตรคำนวณเงินบำนาญชราภาพของกองทุนประกันสังคม คงต้องติดตามกันต่อไปว่า สูตรใหม่ จะได้ใช้จริงเมื่อไหร่ และหลักเกณฑ์อาจมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากนี้หรือไม่ เนื่องจากยังมีกระบวนการทำประชาพิจารณ์ด้วย


ทางเลือกอื่น เพื่อเก็บเงินเกษียณ

ถึงแม้สูตรเงินบำนาญชราภาพของประกันสังคม จะช่วยให้ผู้ที่เกษียณอายุ มีเงินบำนาญไว้ใช้หลังเกษียณแล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่าเพียงแค่เงินบำนาญอย่างเดียว อาจจะยังไม่เพียงพอ หากใครที่ยังมีกำลังในการออมเพิ่ม ยังมีรูปแบบในการออมอื่น ๆ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนลดหย่อนภาษี เช่น กองทุน TESGX (กำลังจะเปิดให้ลงทุนในเดือน พ.ค.-มิ.ย. 68) กองทุน ThaiESG, RMF รวมถึงประกันชีวิต ที่นอกจากจะเป็นเงินออมแล้ว ยังใช้ลดหย่อนภาษีได้ด้วย



คำเตือน


ผู้เขียน

KWEALTHสุนิติ ถนัดวณิชย์ CFP®

Back to top