-
NVIDIA ผู้นำเทคโนโลยี AI ระดับโลก โดยชิปของ NVIDIA ขับเคลื่อนโมเดล AI ยักษ์ใหญ่เกือบทั้งหมด ทั้ง ChatGPT, Google Gemini และอื่นๆ
-
นักลงทุนมือใหม่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตของ NVIDIA ได้ ทั้งการลงทุนโดยตรงผ่านโบรกเกอร์ที่ให้บริการซื้อขายหุ้น NVIDIA หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มี NVIDIA เป็นหลักทรัพย์หลัก เช่น K-USXNDQ-A(A), K-USA-A(A), K-GTECH
-
แม้ NVIDIA จะมีศักยภาพเติบโตสูงในระยะยาวจากเมกะเทรนด์ AI, หุ่นยนต์ และ Metaverse แต่มาพร้อมกับความผันผวนสูง นักลงทุนมือใหม่ควรทยอยลงทุนผ่านกองทุนรวมประเภท Thematic และจัดสรรสัดส่วนการลงทุนอย่างเหมาะสม ไม่ทุ่มเงินทั้งหมดไปกับหุ้นเทคโนโลยีเพียงกลุ่มเดียว
หากพูดถึงหุ้นเทคโนโลยีที่โดดเด่นที่สุดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คงปฏิเสธไม่ได้ว่า NVIDIA คือหนึ่งในชื่อแรกๆ ที่นักลงทุนทั่วโลกนึกถึง จากบริษัทที่เริ่มต้นด้วยการผลิตการ์ดจอสำหรับเกมเมอร์ สู่ผู้นำเทคโนโลยี AI ที่มีมูลค่าตลาดพุ่งทะยานแซงหน้า APPLE ในบางช่วง บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับ NVIDIA อย่างลึกซึ้ง พร้อมแนะนำวิธีการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รายนี้
NVIDIA คืออะไร?
NVIDIA คือ บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติอเมริกันที่ก่อตั้งในปี 1993 โดย Jensen Huang, Chris Malachowsky และ Curtis Priem เริ่มต้นจากการเป็นผู้ผลิตหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) สำหรับนักเล่นเกม ก่อนจะพัฒนาเทคโนโลยีขยายไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างก้าวกระโดด ปัจจุบัน NVIDIA ไม่ใช่แค่บริษัทผลิตการ์ดจอ แต่เป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลก
จุดเด่นของธุรกิจ NVIDIA
ผู้นำด้าน AI และการประมวลผลแบบขนาน NVIDIA พัฒนาชิปที่ช่วยให้การประมวลผลแบบขนานทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การฝึกฝนโมเดล AI เป็นไปได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ด้วยสถาปัตยกรรม CUDA ที่เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะของบริษัท
มากกว่าแค่ฮาร์ดแวร์ NVIDIA ไม่ได้ขายเฉพาะชิปเท่านั้น แต่ยังพัฒนาซอฟต์แวร์และแพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนาและองค์กรต่างๆ เช่น NVIDIA CUDA, NVIDIA Omniverse และ NVIDIA AI Enterprise เป็นต้น
ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม NVIDIA มีบทบาทสำคัญในหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น
- ศูนย์ข้อมูล (Data Center) ชิป GPU รุ่น A100 และ H100 Tensor Core ช่วยให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่สามารถฝึกฝนและใช้งานโมเดล AI ขนาดใหญ่ได้
- ยานยนต์ไร้คนขับ แพลตฟอร์ม NVIDIA DRIVE สำหรับรถยนต์อัตโนมัติและระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ
- การประมวลผลกราฟิกและเกม การ์ดจอตระกูล GeForce RTX และ GTX ที่เป็นที่นิยมในหมู่เกมเมอร์ทั่วโลก
- การแพทย์และวิทยาศาสตร์ชีวภาพ แพลตฟอร์ม NVIDIA Clara สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์และการค้นพบยา
ความสำคัญของ NVIDIA ในวงการเทคโนโลยีโลก
NVIDIA ได้กลายเป็นบริษัทที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเทคโนโลยี AI ทั่วโลก ชิปของ NVIDIA ถูกใช้ในการฝึกฝนโมเดล AI ขนาดใหญ่เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT, Google Gemini, Claude ความต้องการชิป GPU สำหรับ AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้ NVIDIA มีอำนาจต่อรองสูงและสามารถกำหนดราคาชิปได้ในระดับที่สร้างกำไรมหาศาล
ทำไมหุ้น NVIDIA ถึงน่าลงทุนในปีนี้
รายได้ล่าสุดและการเติบโตแบบก้าวกระโดด
NVIDIA รายงานรายได้ไตรมาส 4 ของปีงบการเงิน 2568 อยู่ที่ 3.933 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 78% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 3.805 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยรายได้จากชิปแบล็คเวลล์ (Blackwell) ซึ่งเป็นชิป AI รุ่นใหม่ในไตรมาส 4 ของปีงบการเงิน 2568 อยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการชิป AI ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่ทำให้ NVDA กลายเป็นหุ้นดาวรุ่ง
กระแส AI Boom การเติบโตของเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะ Generative AI ทำให้ความต้องการชิปประมวลผลประสิทธิภาพสูงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่ง NVIDIA เป็นผู้นำตลาดอย่างไม่มีคู่แข่ง
การขยายตัวของศูนย์ข้อมูล บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั่วโลกกำลังแข่งขันกันสร้างศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับบริการ AI ซึ่งต้องใช้ชิป GPU จำนวนมาก
การกลับมาของตลาดเกม หลังจากที่ตลาดเกมเคยซบเซาในช่วงหลังโควิด-19 ล่าสุดเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว ซึ่งช่วยสนับสนุนรายได้ในส่วนของผลิตภัณฑ์ GeForce ของ NVIDIA
อัปเดตจากงาน NVIDIA GTC 2025
ในงาน NVIDIA GTC (GPU Technology Conference) ประจำปี 2025 ซีอีโอ Jensen Huang ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ที่น่าตื่นเต้น อาทิ
- NVIDIA Blackwell สถาปัตยกรรมชิปรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่น Hopper ถึง 5 เท่า สำหรับการฝึกฝนและใช้งานโมเดล AI ขนาดใหญ่
- NVIDIA Grace Blackwell ซูเปอร์ชิปที่รวมหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) และ GPU เข้าด้วยกัน
- NVIDIA Omniverse Cloud แพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับการทำงานร่วมกันในโลกเสมือนจริง
การเปิดตัวเทคโนโลยีล้ำสมัยเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำความเป็นผู้นำของ NVIDIA ในตลาด AI และการประมวลผลประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยเสริมความมั่นใจให้กับนักลงทุนเกี่ยวกับโอกาสเติบโตในอนาคต
วิธีลงทุนในหุ้น NVIDIA สำหรับนักลงทุนไทย
นักลงทุนไทยมีหลายทางเลือกในการลงทุนหุ้น NVIDIA โดยแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน
การลงทุนโดยตรง

หากต้องการลงทุนโดยตรง นักลงทุนไทยสามารถเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศกับโบรกเกอร์ที่ให้บริการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ เช่น บริการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศของบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย
การลงทุนผ่านกองทุนรวม/ETF ต่างประเทศ

กองทุนรวมที่มี NVIDIA เป็นหนึ่งในหลักทรัพย์หลัก
หลายกองทุนรวมในประเทศไทยมีการลงทุนในหุ้น NVIDIA ในสัดส่วนที่สูง โดยเฉพาะกองทุนที่เน้นลงทุนในธีม AI, เทคโนโลยี หรือหุ้นสหรัฐฯ ตัวอย่างกองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้น NVIDIA จากข้อมูล ณ วันที่ 28 ก.พ. 68 ได้แก่
-
K-USXNDQ-A(A) กองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100-A ชนิดสะสมมูลค่า โดยมีนโยบายการลงทุนให้มีผลตอบแทนตามดัชนีหุ้นสหรัฐฯ Nasdaq-100
-
K-USA-A(A) กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน-A ชนิดสะสมมูลค่า โดยมีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทสหรัฐอเมริกาที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีรูปแบบธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
-
K-GTECH กองทุนเปิดเค โกลบอล เทคโนโลยี หุ้นทุน โดยมีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีทั่วโลก
-
K-HIT-A(A) กองทุนเปิดเค โกลบอล ไฮอิมแพ็คธีมาติกหุ้นทุน-A ชนิดสะสมมูลค่า โดยมีนโยบายลงทุนในหุ้นทั่วโลก มุ่งเน้นสร้างพอร์ตการลงทุนให้หลากหลายผ่านกลยุทธ์การคัดเลือกธีมการลงทุน (Theme) กลุ่มอุตสาหกรรม (Sector) และหุ้น (Stock)
ความเสี่ยงและโอกาสของการลงทุนในหุ้น NVIDIA
ความผันผวนของหุ้นเทคโนโลยี
แม้ NVIDIA จะมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว แต่การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีย่อมมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะเมื่อ
- ราคาหุ้นได้รวมความคาดหวังในอนาคตไว้มากแล้ว (สะท้อนจากอัตราส่วน P/E ที่สูง)
- อาจมีการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งรายใหม่ เช่น AMD หรือแม้แต่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่หันมาพัฒนาชิป AI เอง
- นโยบายภาครัฐหรือข้อจำกัดในการส่งออกเทคโนโลยีอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโต
การกระจายความเสี่ยงด้วย Thematic Fund
แทนที่จะลงทุนในหุ้น NVIDIA เพียงตัวเดียว การลงทุนผ่านกองทุนรวมแบบ Thematic ที่เน้นลงทุนตามธีมหรือแนวโน้มอุตสาหกรรม เช่น AI, หุ้นเทคโนโลยี หรือหุ้นสหรัฐฯ จะช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนได้ดีกว่า เช่น กองทุน K-HIT-A(A) ที่ลงทุนตามธีมที่มีผลกระทบสูงต่อโลก
NVIDIA กับเมกะเทรนด์
NVIDIA อยู่ในตำแหน่งที่ได้ประโยชน์จากหลายเมกะเทรนด์พร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น
- AI และการเรียนรู้ของเครื่อง NVIDIA เป็นผู้นำในตลาดชิปสำหรับการฝึกฝนและใช้งานโมเดล AI
-
หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ชิปและแพลตฟอร์มของ NVIDIA ถูกใช้ในการพัฒนาระบบหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ
-
Metaverse และ Virtual Reality NVIDIA Omniverse เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการสร้างและทำงานร่วมกันในโลกเสมือนจริง
-
การขยายตัวของการประมวลผลกลุ่มเมฆ (Cloud Computing) Data Center เป็นแหล่งรายได้หลักของ NVIDIA และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
คำแนะนำสำหรับนักลงทุนมือใหม่
นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มต้นอย่างไร
- ศึกษาและทำความเข้าใจ ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจของ NVIDIA และปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตในอนาคต
-
เริ่มจากการลงทุนผ่านกองทุนรวม ที่มี NVIDIA เป็นหลักทรัพย์หลัก จะช่วยลดความเสี่ยงและไม่ต้องกังวลเรื่องการบริหารจัดการพอร์ตด้วยตนเอง
-
ทยอยลงทุน ใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar-Cost Averaging) โดยทยอยลงทุนสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา
-
จัดสรรสัดส่วนการลงทุนอย่างเหมาะสม ไม่ควรทุ่มเงินทั้งหมดไปกับการลงทุนในกองทุนที่มี NVIDIA หรือหุ้นเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว ควรกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่นด้วยเพื่อลดความผันผวน
คำแนะนำจาก K WEALTH
K WEALTH เชื่อว่า NVIDIA ยังคงมีศักยภาพเติบโตในระยะยาวจากการเป็นผู้นำในตลาด AI และการประมวลผลประสิทธิภาพสูง อย่างไรก็ตาม ด้วยมูลค่าตลาดและอัตราส่วน P/E ที่อยู่ในระดับสูง การลงทุนในหุ้น NVIDIA จึงมาพร้อมกับความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม
สำหรับนักลงทุนทั้งมือใหม่และมือเก๋า แนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี โดยอาจพิจารณากองทุนประเภท Thematic ที่ได้ประโยชน์จากเทรนด์ AI และเทคโนโลยี หรือกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ที่มีการลงทุนใน NVIDIA เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ต
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจลงทุน แนะนำให้ติดตามประเด็น Reciprocal Tariffs ซึ่งเริ่มมีนับตั้งแต่ช่วง เม.ย. 68 โดยยังไม่แนะนำให้รีบร้อนลงทุน โดยอาจพักเงินในกองทุน K-SFPLUS-A เพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนตัดสินใจลงทุนอีกครั้ง
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS-A: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-USXNDQ-A(A), K-USA-A(A), K-HIT-A(A): ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
- K-GTECH: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 7
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง 100% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-USXNDQ-A(A), K-USA-A(A), K-HIT-A(A): ป้องกันความเสี่ยงไม่น้อยกว่า 75% ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-GTECH: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS-A: T+1
- K-USXNDQ-A(A): T+3
- K-USA-A(A), K-HIT-A(A), K-GTECH: T+4
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : บลจ.กสิกรไทย, บล.กสิกรไทย