เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ ในปี 2025 หลังจากภาวะชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นจีน K WEALTH รวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นจีนที่จะช่วยให้เข้าใจแนวโน้ม โอกาส และตัวเลือกการลงทุนที่เหมาะสม เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นจีนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
หุ้นจีนคืออะไร?
หุ้นจีน คือ หลักทรัพย์ที่ออกโดยบริษัทจีนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ ทั้งในจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง โดยแบ่งเป็นประเภทหลักๆ ได้แก่
-
A-Shares หุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น เดิมสงวนไว้สำหรับนักลงทุนในประเทศจีนเท่านั้น แต่ปัจจุบันเปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้าถึงได้มากขึ้นผ่านโครงการ Stock Connect
-
H-Shares หุ้นของบริษัทจีนแผ่นดินใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งนักลงทุนต่างชาติสามารถซื้อขายได้อย่างเสรี
เศรษฐกิจจีนไตรมาส 1 ปี 2568 ขยายตัว 5.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเติบโตในเดือนมีนาคมเป็นแรงหนุนสำคัญ หลังรัฐบาลใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบการใช้จ่ายภาครัฐและโครงการสนับสนุนการบริโภค โดยการบริโภคภาคเอกชนฟื้นตัวเด่นชัด การผลิตภาคอุตสาหกรรมแข็งแกร่ง และการลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวต่อเนื่อง
แม้จะมีความเสี่ยงด้านการส่งออกในอนาคตและภาวะชะลอตัวจากอัตราภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม อย่างไรก็ตาม การใช้นโยบายการคลังเพิ่มเติมจากงบประมาณใหม่ และความเป็นไปได้ในการผ่อนคลายทางการเงินเร็วๆ นี้ จะช่วยประคองเศรษฐกิจจีนให้เติบโตได้ต่อเนื่อง และอาจทำให้ GDP ตลอดปี 2568 ยังคงอยู่เหนือระดับ 5%
สำรวจดัชนีหุ้นจีนและตลาดหลักที่ควรรู้
การเข้าใจดัชนีหุ้นจีนและตลาดหลักทรัพย์สำคัญจะช่วยให้นักลงทุนสามารถกำหนดกลยุทธ์การลงทุนได้ดียิ่งขึ้น โดยดัชนีหลักที่ควรรู้จักมีดังนี้
CSI 300 ดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้นชั้นนำ 300 ตัวจากตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น เป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของ A-Shares ขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง
Hang Seng Index (HSI) ดัชนีหลักของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ประกอบด้วยหุ้นชั้นนำในฮ่องกง รวมถึง H-Shares ของบริษัทจีนแผ่นดินใหญ่
SSE Composite ดัชนีที่รวมหุ้นทั้งหมดที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ครอบคลุมทั้งบริษัทขนาดใหญ่ กลางและเล็ก
ตลาดหลักทรัพย์สำคัญของจีนที่นักลงทุนควรทำความเข้าใจ
- ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (SSE) ตลาดเก่าแก่และใหญ่ที่สุดในจีนแผ่นดินใหญ่ เน้นบริษัทขนาดใหญ่ รัฐวิสาหกิจ และอุตสาหกรรมดั้งเดิม
-
ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น (SZSE) เน้นบริษัทเทคโนโลยี สตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการนวัตกรรม มีดัชนี ChiNext ที่เป็นเวอร์ชั่นของ Nasdaq ในจีน
-
ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKEX) เป็นศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศที่เชื่อมโยงจีนกับตลาดทั่วโลก มีกฎระเบียบและมาตรฐานสากล ทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้าถึงได้ง่าย
หุ้นเทคโนโลยีจีน - กลุ่มที่นักลงทุนจับตา
หุ้นเทคโนโลยีของจีนยังคงเป็นที่จับตามองในปี 2025 จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องและการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ โดยในกลุ่ม AI และเทคโนโลยีดิจิทัล มีความโดดเด่นกว่าอุตสาหกรรมดั้งเดิม
บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่น่าจับตา
-
Tencent Holdings ยักษ์ใหญ่ด้านเกมและโซเชียลมีเดีย กำลังลงทุนอย่างหนักในด้าน AI และคลาวด์คอมพิวติ้ง โดยธุรกิจเกมและโฆษณาออนไลน์ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
-
Alibaba Group ผู้นำด้าน e-Commerce และคลาวด์ กำลังปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลักดันนวัตกรรมด้าน AI ในแพลตฟอร์มของตน
-
Meituan ผู้นำด้านการจัดส่งอาหารและบริการออนไลน์ มีการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องจากการขยายบริการสู่เมืองรองและชนบทมากขึ้น
- BYD ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำ กำลังขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรป
-
Baidu บริษัท AI และเสิร์ชเอนจินรายใหญ่ของจีน กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI เช่น Ernie Bot และรถยนต์ไร้คนขับ
กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มเติบโต
-
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จีนมีเป้าหมายเป็นผู้นำด้าน AI ภายในปี 2030 บริษัทอย่าง Baidu, Tencent และ SenseTime กำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม AI สำหรับการใช้งานหลากหลาย
-
เซมิคอนดักเตอร์ จีนกำลังลงทุนอย่างหนักเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าชิป บริษัทอย่าง SMIC และ Hua Hong Semiconductor กำลังขยายกำลังการผลิต
-
ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จีนเป็นตลาดและผู้ผลิต EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผู้ผลิตอย่าง BYD, NIO และ Li Auto มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ
-
เทคโนโลยีสีเขียว การมุ่งสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2060 กระตุ้นการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน โซลาร์เซลล์ และเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงาน
ในด้าน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) นโยบายของรัฐบาลจีนมีผลกระทบอย่างมากต่อภาคเทคโนโลยี โดยเฉพาะการกำกับดูแลที่เข้มงวดมากขึ้นในด้านการแข่งขัน ความปลอดภัยของข้อมูล และความมั่นคงทางไซเบอร์ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นจีนได้ปรับตัวกับความไม่แน่นอนทางนโยบายมากขึ้น และนักลงทุนมองเห็นโอกาสบริษัทที่ปรับตัวได้ดีตามกฎระเบียบใหม่
วิธีการลงทุนในหุ้นจีน
สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจลงทุนในหุ้นจีน มีหลายทางเลือกดังนี้
ซื้อหุ้นรายตัวผ่านโบรกเกอร์ที่รองรับตลาดหุ้นจีน
-
ตลาดฮ่องกง นักลงทุนสามารถเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศผ่านโบรกเกอร์ในประเทศไทยที่มีบริการซื้อขายหุ้นในตลาดฮ่องกง เช่น บล.กสิกรไทย ที่มีบริการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศผ่าน KS Global Invest
-
ตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ การเข้าถึง A-Shares ในตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นทำได้ยากกว่า แต่สามารถทำผ่านโบรกเกอร์นานาชาติที่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงโครงการ Stock Connect ได้
ข้อควรระวัง การลงทุนในหุ้นรายตัวต้องอาศัยความรู้และการติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจเป็นความท้าทายสำหรับนักลงทุนที่ไม่คุ้นเคยกับตลาดหุ้นจีน/p>
ลงทุนผ่านกองทุนรวมหรือ ETF
วิธีนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนทั่วไปที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและไม่ต้องการบริหารพอร์ตเอง
-
กองทุนรวมในประเทศไทย บลจ.หลายแห่งในไทยมีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นจีน เช่น K-CHINA, SCBCHA, KT-CHINA-A เป็นต้น
-
ETF ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ เช่น iShares MSCI China ETF (MCHI), KraneShares CSI China Internet ETF (KWEB) สามารถซื้อผ่านโบรกเกอร์ที่รองรับการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ
แนวโน้มหุ้นจีน 2025 - ปัจจัยที่ต้องจับตามอง
ปี 2025 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน โดยมีปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรติดตาม
ปัจจัยมหภาค ได้แก่
-
นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน รัฐบาลจีนประกาศ "แผนปฏิบัติการพิเศษเพื่อกระตุ้นการบริโภค" พร้อมเพิ่มงบประมาณด้านวิจัยและพัฒนาถึง 10.3% ในปี 2025 เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์
-
ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจยังคงดำเนินต่อไป หลังจากสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษี Reciprocal Tariffs กับจีน ซึ่งจีนได้ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ทุกชนิดเช่นกัน
-
การปฏิรูปตลาดทุน จีนกำลังดำเนินการปฏิรูปตลาดทุนเพื่อดึงดูดการลงทุนและปรับปรุงการกำกับดูแล ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะยาว
กลุ่มธุรกิจดาวรุ่ง
- เทคโนโลยี AI และ Deep Tech บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยี AI, ชิปเซมิคอนดักเตอร์ และหุ่นยนต์มีแนวโน้มเติบโตสูง จากการสนับสนุนของรัฐบาลที่ต้องการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
-
ยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด จีนตั้งเป้าเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2060
-
การบริโภคระดับพรีเมียม บริษัทที่มุ่งเน้นสินค้าและบริการคุณภาพสูงสำหรับชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตของจีนมี โอกาสเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มสุขภาพและความงาม
-
เศรษฐกิจดิจิทัล ธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่มูลค่าของเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น e-Commerce, FinTech และ Cloud Computing ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะเผชิญการกำกับดูแลที่เข้มงวดมากขึ้น
วิธีการลงทุนเมื่อเกิดความผันผวน
ความผันผวนในตลาดหุ้นจีนมักเกิดขึ้นบ่อยครั้งจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายและปัจจัยภายนอก นักลงทุนควรเตรียมกลยุทธ์รองรับดังนี้
-
เลือกบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มุ่งเน้นบริษัทที่มีฐานะการเงินมั่นคง อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำ และมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยให้บริษัทรับมือกับความผันผวนได้ดี
-
ติดตามนโยบายรัฐบาลอย่างใกล้ชิด นโยบายของรัฐบาลจีนมีผลกระทบอย่างมากต่อทิศทางตลาด การติดตามการประชุมสำคัญ เช่น National People''s Congress ซึ่งจัดขึ้นปีละครั้ง จะช่วยคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้
-
กระจายการลงทุน ไม่ควรลงทุนในหุ้นจีนเพียงอย่างเดียว ควรกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์และภูมิภาคอื่นๆ ด้วย โดยสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีนไม่ควรเกิน 20% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด
-
ทยอยลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) ลงทุนเป็นประจำทุกเดือนเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา และเฉลี่ยต้นทุนการลงทุนในระยะยาว
หุ้นจีนเหมาะกับใคร และควรเริ่มอย่างไร?
แนะนำแนวทางการเริ่มลงทุนในหุ้นจีน
- สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้
- แนะนำชะลอการลงทุนและติดตามสถานการณ์ความคืบหน้าของสงครามการค้าในช่วงเวลาต่อจากนี้
- สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS-A
- สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำถึงปานกลาง
- พิจารณากองทุนผสมที่มีสัดส่วนหุ้นจีนบางส่วน เช่น K-WPBALANCED หรือ K-WPSPEEDUP ที่ ณ ก.พ. 68 มีหุ้นจีนอยู่ที่ 3% และ 4% ตามลำดับ
- พิจารณาลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาวเพื่อรับอานิสงส์ในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง เช่น กองทุน K-FIXED-A หรือ K-FIXEDPLUS-A
- ช่องทางการลงทุนที่สะดวก
- ผ่าน K PLUS สามารถซื้อกองทุนรวมได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน K PLUS โดยเลือกที่เมนู "ลงทุน" ซึ่งมีกองทุนให้เลือกจาก บลจ.ต่างๆ กว่า 15 บลจ.
- ผ่านโบรกเกอร์ หากต้องการลงทุนในหุ้นจีนรายตัวหรือ ETF สามารถเปิดบัญชี KS Global Invest เพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศได้
หุ้นจีนมีความน่าสนใจในปี 2025 โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง AI และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ แม้จะมีความท้าทายจากสงครามการค้าและความไม่แน่นอนของนโยบาย อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพิจารณาความเหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินและความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเองก่อนตัดสินใจลงทุน
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS-A, K-FIXED-A, K-FIXEDPLUS-A: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-CHINA-A(A) SCBCHA, KT-CHINA-A: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง 100% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS-A, SCBCHA: ป้องกันความเสี่ยงไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-CHINA-A(A): ป้องกันความเสี่ยงไม่น้อยกว่า 75% ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, KT-CHINA-A: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- K-FIXED-A: ไม่มีการลงทุนต่างประเทศ
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS-A: T+1
- K-FIXED-A, K-FIXEDPLUS-A, SCBCHA: T+2
- K-CHINA-A(A), KT-CHINA-A: T+4
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : • บลจ.กสิกรไทย, บล.กสิกรไทย