วันแรกที่ลูกน้อยเดินเข้าโรงเรียนอนุบาลด้วยตัวเองครั้งแรก เป็นช่วงเวลาที่ผสมผสานระหว่างความภาคภูมิใจของพ่อแม่ที่เห็นลูกเติบโตขึ้น และความวิตกกังวลที่ต้องปล่อยให้ลูกก้าวออกไปเผชิญกับโลกภายนอก ในขณะที่หลายคนอาจจดจ่อกับความรู้สึกในวันสำคัญนี้ แต่อีกด้านหนึ่งที่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้ามคือ การเริ่มต้นวางแผนการเงินเพื่อการศึกษาของลูกอย่างเป็นรูปธรรม เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางทางการศึกษาที่ยาวนานกว่าจะจบมหาวิทยาลัย ซึ่งต้องการการเตรียมความพร้อมทางการเงินอย่างรอบคอบ
ค่าใช้จ่ายการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในอีก 15 ปีข้างหน้า
การวางเป้าหมายการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในอีก 15 ปีข้างหน้าเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ปกครองควรเริ่มคิดตั้งแต่วันนี้
ประมาณการค่าใช้จ่ายในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยตลอดหลักสูตร
มหาวิทยาลัยรัฐบาล
| ประมาณ 500,000 - 1,200,000 บาท
|
มหาวิทยาลัยเอกชนหรือหลักสูตรนานาชาติ
| ประมาณ 1,500,000 - 2,500,000 บาท
|
การศึกษาต่อต่างประเทศระดับปริญญาตรี
| ประมาณ 5,000,000 - 10,000,000 บาท
|
หมายเหตุ: ค่าเรียนแปรผันตามประเทศและสถาบันการศึกษา โดยประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาเหนือมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าภูมิภาคอื่น
กลยุทธ์การออมและการลงทุนตามช่วงอายุของลูกถือเป็นหัวใจสำคัญของการวางแผนการศึกษา ในช่วงแรกเกิดถึงประถมศึกษา ผู้ปกครองควรเริ่มต้นด้วยการออมอย่างสม่ำเสมอ และสามารถเลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงปานกลางถึงสูงได้ เนื่องจากยังมีระยะเวลายาวนานพอที่จะรับความผันผวนของตลาด เมื่อลูกเข้าสู่ช่วงมัธยมศึกษา ควรปรับพอร์ตการลงทุนให้มีความเสี่ยงลดลง และเมื่อใกล้ถึงช่วงมหาวิทยาลัย การปรับเปลี่ยนไปสู่การลงทุนที่มีความมั่นคงสูงจะช่วยรักษาเงินต้นและผลตอบแทนที่สะสมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
เตรียมเงินวันนี้ เพื่ออนาคตที่สดใสของลูก
ความสำคัญของการวางแผนการเงินเพื่อการศึกษาลูกตั้งแต่เนิ่นๆ นั้นมีมากกว่าที่หลายคนคาดคิด เนื่องจากพลังของผลตอบแทนทบต้นจะช่วยให้เงินงอกเงยได้มากขึ้นเมื่อมีระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนาน
ตัวอย่าง หากเริ่มออมเดือนละ 5,000 บาท ตั้งแต่ลูกแรกเกิด ด้วยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 6% ต่อปี เมื่อลูกอายุครบ 18 ปี คุณจะมีเงินสะสมประมาณ 1.93 ล้านบาท แต่หากเริ่มต้นช้าลง เช่น เริ่มเมื่อลูกอายุ 10 ปี ด้วยจำนวนเงินออมเท่ากัน คุณจะมีเงินสะสมเพียง 600,000 บาทเท่านั้น แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของการเริ่มต้นวางแผนการเงินตั้งแต่เนิ่นๆ
ความท้าทายของค่าเล่าเรียนที่สูงขึ้นทุกปีเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ผู้ปกครองต้องคำนึงถึง จากข้อมูลย้อนหลังพบว่า ค่าเล่าเรียนในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 3-5% ต่อปี ซึ่งหมายความว่า หากปัจจุบันค่าเล่าเรียนระดับมหาวิทยาลัยอยู่ที่ประมาณ 150,000 บาทต่อปี ในอีก 15 ปีข้างหน้า อาจเพิ่มขึ้นเป็น 230,000 - 310,000 บาทต่อปี ตามอัตราการเติบโต และหากเป็นการศึกษาในต่างประเทศ อัตราการเพิ่มขึ้นอาจสูงกว่านี้มาก
ผลกระทบของเงินเฟ้อต่อค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในอนาคตเป็นปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากเงินเฟ้อไม่เพียงแต่ทำให้ค่าเล่าเรียนสูงขึ้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น ค่าหนังสือ ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าที่พัก และค่าครองชีพโดยรวม ดังนั้น การวางแผนการเงินจึงต้องคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อและคำนวณเป้าหมายการเงินให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
ด้วยเหตุนี้ การเริ่มต้นวางแผนการเงินเพื่อการศึกษาของลูกตั้งแต่วันนี้จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ครอบครัวมีความพร้อมทางการเงินเมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการสนับสนุนการศึกษาของลูก การออมและการลงทุนอย่างสม่ำเสมอและมีวินัย พร้อมกับการเลือกเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมจะช่วยให้เป้าหมายทางการเงินเพื่อการศึกษาของลูกเป็นไปได้อย่างราบรื่น
ประกันชีวิตเพื่อสะสมทรัพย์: แผนที่ครอบคลุมทั้งความคุ้มครองและการศึกษา
หนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการวางแผนการเงินเพื่อการศึกษาของลูกคือ การทำประกันชีวิตเพื่อสะสมทรัพย์ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยในการออมเงินระยะยาวเท่านั้น แต่ยังให้ความคุ้มครองชีวิตควบคู่ไปด้วย “ประกันชีวิตเพื่อสะสมทรัพย์ 615 มีเงินปันผล (Global)” เป็นตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์การวางแผนการเงินเพื่อการศึกษาได้
ข้อดีของประกันชีวิตเพื่อสะสมทรัพย์ 615 มีเงินปันผล (Global)
- จ่ายเบี้ยประกันเพียง 6 ปี แต่ได้รับความคุ้มครองยาวนานถึง 15 ปี เหมาะสำหรับการวางแผนการศึกษาของลูก โดยสามารถเลือกจำนวนทุนประกันให้เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงิน
- รับเงินคืน 5% ของทุนประกันเริ่มต้น ทุกๆ 2 ปีกรมธรรม์ ผลตอบแทนแน่นอนตามที่ระบุในกรมธรรม์
- การันตีเงินต้นอยู่ครบ และมีโอกาสรับเงินปันผลเพิ่ม เมื่อกรมธรรม์ครบสัญญาจากการลงทุนทั่วโลก
- รับความคุ้มครองชีวิตสูงสุดถึง 660% ของทุนประกันเริ่มต้น หากผู้เอาประกันเสียชีวิตระหว่างสัญญา ผู้รับผลประโยชน์จะได้รับเงินตามวงเงินคุ้มครองที่กำหนด ซึ่งช่วยรับประกันว่าลูกจะยังมีเงินเพียงพอสำหรับการศึกษา
- ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยสามารถนำเบี้ยประกันชีวิตไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาทต่อปี
การวางแผนประกันชีวิตให้สอดคล้องกับเป้าหมายการศึกษาของลูกเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ปกครองควรพิจารณาช่วงเวลาที่ลูกจะเข้าศึกษาในแต่ละระดับ และวางแผนให้เงินที่จะได้รับจากกรมธรรม์สอดคล้องกับช่วงเวลาดังกล่าว
ตัวอย่าง หากปัจจุบันลูกอายุ 3 ปี และคาดว่าจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 18 ปี การทำประกันที่มีระยะเวลาเอาประกันภัย 15 ปี จะทำให้ได้รับเงินก้อนพอดีกับช่วงเวลาที่ลูกเข้ามหาวิทยาลัย นอกจากนี้ การเลือกทุนประกันที่เหมาะสมก็มีความสำคัญไม่น้อย โดยควรคำนวณจากค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ที่รวมผลกระทบจากเงินเฟ้อด้วย
ข้อดีของการมีประกันชีวิตควบคู่ไปกับแผนการออมเพื่อการศึกษามีหลายประการ ประการแรกคือ การสร้างวินัยในการออม เนื่องจากต้องจ่ายเบี้ยประกันอย่างสม่ำเสมอ ประการที่สองคือ การได้รับความคุ้มครองชีวิต ซึ่งเป็นหลักประกันให้กับครอบครัวในกรณีที่ผู้ปกครองเสียชีวิตก่อนที่ลูกจะจบการศึกษา ประการที่สามคือ สิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยเบี้ยประกันชีวิตสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาทต่อปี และประการสุดท้ายคือ การได้รับผลตอบแทนที่แน่นอนตามเงื่อนไขที่ระบุในกรมธรรม์ ซึ่งช่วยให้การวางแผนการเงินมีความชัดเจนมากขึ้น
ในการพิจารณาทำประกันชีวิตเพื่อสะสมทรัพย์ ผู้ปกครองควรศึกษาเงื่อนไขและรายละเอียดของกรมธรรม์อย่างละเอียด เปรียบเทียบผลประโยชน์และข้อจำกัดของแต่ละแบบประกัน และเลือกแบบประกันที่ตอบโจทย์ความต้องการและสถานะทางการเงินของครอบครัวมากที่สุด ที่สำคัญ ควรวางแผนให้การจ่ายเบี้ยประกันไม่เป็นภาระทางการเงินมากเกินไป โดยทั่วไปแล้ว การจ่ายเบี้ยประกันไม่ควรเกิน 10% ของรายได้ต่อปี
สร้างอนาคตที่มั่นคงให้ลูกด้วยการวางแผนที่ดี
การวางแผนการเงินเพื่อการศึกษาของลูกเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความเข้าใจ การมองการณ์ไกล และความมุ่งมั่นในการดำเนินตามแผนอย่างต่อเนื่อง การเริ่มต้นวางแผนตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่เพียงแต่ช่วยลดภาระทางการเงินในอนาคต แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับครอบครัวและสร้างโอกาสทางการศึกษาที่ดีที่สุดให้กับลูก
การวางแผนการเงินเพื่อการศึกษาอย่างเป็นระบบเริ่มต้นจากการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องการให้ลูกได้รับการศึกษาในระดับใด และมีค่าใช้จ่ายโดยประมาณเท่าไร จากนั้นคำนวณจำนวนเงินที่ต้องออมหรือลงทุนในแต่ละเดือนหรือปี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อและผลตอบแทนจากการลงทุนที่คาดหวัง หลังจากนั้นจึงเลือกเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม ซึ่งอาจเป็นการผสมผสานระหว่างการออม การลงทุน และการทำประกันชีวิต โดยอาจใช้ประกันชีวิตเป็นเครื่องมือในการล็อกผลตอบแทนหรือเงินครบสัญญาขั้นต่ำที่ต้องการเพื่อให้เพียงพอกับการศึกษาลูกได้ และที่สำคัญคือ การทบทวนและปรับแผนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเงินและเป้าหมายที่อาจเปลี่ยนแปลงไป และทำให้เป้าหมายการศึกษาลูกสำเร็จตามที่ตั้งใจ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : เมืองไทยประกันชีวิต