-
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง 3-4% หลังจากมีแรงรีบาวด์ในวันก่อนหน้า เนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งสหรัฐฯ ได้เพิ่มการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนขึ้นถึง 145%
-
ทางด้านยุโรปล่าสุดมีการหยุดขึ้นภาษีที่ตอบโต้สหรัฐฯ บนสินค้า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้น
-
แม้ทิศทางของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและยุโรปจะดีขึ้น แต่ความตึงเครียดกับจีนยังสูง ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังผันผวนตามข่าว จึงแนะนำควรระมัดระวังและใช้กลยุทธ์ “wait and see”
Market Update
วันที่ 10 เมษายน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลง 3-4% หลังรีบาวด์แรง จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยสหรัฐฯ เพิ่มการเก็บภาษีบนสินค้านำเข้ากับจีนที่ 145% พร้อมทั้งยอมรับว่าอาจเกิดปัญหาชั่วคราว ด้านสงครามการค้ากับประเทศอื่นๆ แต่ล่าสุดมีพัฒนาการในทิศทางที่ดีขึ้น โดยทาง EU จะหยุดขึ้นภาษีที่ตอบโต้สหรัฐฯ บนสินค้า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน
Related Indices & Funds (ข้อมูลวันที่ 10 เมษายน 2568)
- Dow Jones -2.50%
- S&P500 -3.46%
- NASDAQ -4.31%
Market Outlook
แม้สถานการณ์ด้านสงครามการค้ากับประเทศอื่นๆ จะดูดีขึ้น แต่ความตึงเครียดกับจีนนั้นเพิ่มขึ้น จึงยังประเมินตลาดหุ้นจะผันผวนสูงตามข่าวการเจรจาทางการค้า นักลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ และเน้นกลยุทธ์ “wait and see”
ปัจจัยหลักที่ต้องจับตาได้แก่:
- ทิศทางการของภาษีนำเข้าสินค้าในช่วง 90 วันข้างหน้า ระหว่างสหรัฐฯ กับเหล่าประเทศคู่ค้า และเจรจาลดภาษีนำเข้าสินค้า
- ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ที่ลดลงต่อเนื่อง สะท้อนผ่านแรงขายในตลาดทั่วโลกและดัชนีความผันผวน VIX ที่ยังทรงตัวในระดับสูงกว่า 50 จุด
- การใช้นโยบายการเงินและการคลัง ในภาวะที่ทุกฝ่ายต่างคาดว่าเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า นโยบายการเงินและการคลังจะถูกใช้เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว ซึ่งแต่ละประเทศมีความสามารถด้านนโยบายเหล่านี้ที่แตกต่างกัน
- ความเสี่ยง stagflation จากต้นทุนการค้าที่เพิ่มขึ้น ขณะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว ท่ามกลางธนาคารกลางมีความยากลำบากที่มากขึ้นในการปรับนโยบายการเงินที่ต้องสร้างความสมดุลระหว่างการเติบโตของเศรษฐกิจและระดับอัตราเงินเฟ้อ
K WEALTH จะติดตามพัฒนาการของปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิด รวมถึงข่าวความเคลื่อนไหวการเจรจาของแต่ละประเทศเพื่อประกอบการพิจารณาให้คำแนะนำการลงทุน
คำแนะนำการลงทุน
-
สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นสหรัฐ
- หากมีสัดส่วนมากกว่า 20% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS
- หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% แนะนำถือเพื่อรอติดตามความคืบหน้าของสงครามการค้า
-
สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐ
- แนะนำชะลอการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างกองทุนหุ้นสหรัฐ และติดตามสถานการณ์ความคืบหน้าของสงครามการค้าในช่วงเวลาต่อจากนี้อย่างใกล้ชิด
- เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WEALTHPLUS เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
- แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
- สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-USA-A, K-US500X-A, K-USXNDQ-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง100%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง มากกว่า 90%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-US500X-A: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- K-USA-A, K-USXNDQ-A: ป้องกันความเสี่ยงบางส่วน
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS: T+1
- K-FIXEDPLUS-A: T+2
- K-US500X-A, K-USXNDQ-A: T+3
- K-USA-A: T+4
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6