-
ราคาทองคำลดลง 3.6% เนื่องจากมีแรงเทขายของนักลงทุนที่หันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ส่งสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน พร้อมกับระบุว่าไม่มีแผนปลดนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ออกจากตำแหน่ง และยังพร้อมที่จะปรับลดภาษีศุลกากรต่อจีน รวมถึงการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็มีส่วนที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวลง
-
แม้ว่าทรัมป์จะส่งสัญญาณผ่อนคลายเกี่ยวกับภาษีศุลกากรจีนและแสดงท่าทีที่เปลี่ยนไปต่อธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่จำเป็นต้องติดตามประเด็นดังกล่าวอย่างใกล้ชิด จึงแนะนำให้ระมัดระวังและใช้กลยุทธ์ "wait and see"
Market Update
เมื่อวันพุธที่ 23 เมษายน 2068 ราคาทองคำ ดิ่งลงแรงกว่า 3.6% ปิดที่ระดับ $3,294.10 ต่อออนซ์ ท่ามกลางแรงเทขายจากนักลงทุนที่หันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ภายหลังประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยระบุว่าไม่มีแผนปลดประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (นายเจอโรม พาวเวลล์) ออกจากตำแหน่ง และยังพร้อมที่จะปรับลดภาษีศุลกากรต่อจีน ซึ่งความเคลื่อนไหวเหล่านี้ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการแทรกแซงธนาคารกลางและสงครามการค้า
ขณะเดียวกัน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยดัชนี DXY พุ่งขึ้น 0.94% แตะที่ 99.844 จุด สะท้อนถึงการไหลเข้าสินทรัพย์สหรัฐฯ และส่งผลให้ต้นทุนทองคำซึ่งซื้อขายในรูปของดอลลาร์แพงขึ้นสำหรับนักลงทุนต่างชาติ จึงเป็นปัจจัยลบที่ซ้ำเติมราคาทองในรอบนี้
Related Indices & Funds (ณ เวลา 9.10 น. วันที่ 24 เม.ษ. 68)
- Gold Futures (COMEX): $3,357 (+2.11%)
- US Dollar Index (DXY): 99.584 (-0.20%)
Market Outlook
แม้การส่งสัญญาณผ่อนคลายจากทรัมป์ในประเด็นภาษีศุลกากรจีนและท่าทีอ่อนลงต่อธนาคารกลางสหรัฐฯ จะกระตุ้นแรงซื้อในตลาดหุ้น กระทบเชิงลบต่อตลาดทองคำ เนื่องจากแรงเทขายจากนักลงทุนที่ลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย และหันกลับเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงท่ามกลางความหวังว่าจะมีข้อตกลงทางการค้าในอนาคต ดังนั้นการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในระยะสั้นอาจยังถูกกดดันจากทิศทางค่าเงินดอลลาร์และท่าทีที่ผ่อนคลายขึ้นของสงครามการค้า แต่อย่างไรก็ตามทองคำยังคงมีบทบาทระยะกลางถึงยาว สำหรับการป้องกันความเสี่ยงจากนโยบายเศรษฐกิจที่ยังคงมีความผันผวนอย่างมากอยู่ในระยะข้างหน้า
คำแนะนำการลงทุน
-
สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนทองคำ
- หากมีสัดส่วนมากกว่า 5% - 15% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS
- หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 5% - 15% แนะนำถือเพื่อรอติดตามความคืบหน้าของสงครามการค้า
-
สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนทองคำ
- แนะนำชะลอการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างกองทุนทองคำ และติดตามสถานการณ์ความคืบหน้าของสงครามการค้าในช่วงเวลาต่อจากนี้อย่างใกล้ชิด
- เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WEALTHPLUS เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
- แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
- สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-GOLD-Aความเสี่ยงกองทุนระดับ 8
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง100%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS-A, K-GOLD-A: ป้องกันความเสี่ยง มากกว่า 90%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS: T+1
- K-FIXEDPLUS-A, K-GOLD-A: T+2
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6