-
กองทุน ThaiESGX จากบลจ.กสิกรไทย มี 2 ทางเลือก คือ 1) K-HDThaiESGX (หุ้น 100% เน้นหุ้นยั่งยืนปันผลสูง) และ 2) K-70ThaiESGX (หุ้นยั่งยืนปันผลสูง 70% + ตราสารหนี้ยั่งยืน 30%) สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพ ตามเกณฑ์ ESG พร้อมสิทธิลดหย่อนภาษี จุดเด่นของกองทุน คือ คัดเลือกหุ้นและตราสารหนี้คุณภาพสูง มีความมั่นคง จ่ายปันผลสม่ำเสมอ ผลตอบแทนย้อนหลังดีกว่า SET Index
-
ทั้ง 2 กองทุน เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาว สามารถถือครองกองทุนได้ขั้นต่ำ 5 ปี ที่ต้องการกระจายความเสี่ยง และอยากหาสินทรัพย์พื้นฐานดีเก็บเข้าพอร์ต และต้องการหาเครื่องมือการลงทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีปี 2568 ด้วยวงเงินลงทุนใหม่ (ลดหย่อนสูงสุดได้ไม่เกิน 300,000 บาท และไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี) และวงเงินสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอน (ลดหย่อนรวมสูงสุดได้ไม่เกิน 500,000 บาท)
เชื่อว่าหลายๆ คนคงมีความรู้สึกคุ้นหู หรือติดตามอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับกองทุน ThaiESGX (Thai ESG Extra) ที่ออกมาเพื่อเป็นทางเลือกลงทุนให้กับนักลงทุนที่อยากลดหย่อนภาษีด้วยการลงทุนใหม่ หรือโอนย้ายเงินลงทุนที่อยู่ใน LTF ทั้งหมดที่ครบกำหนดแล้วมาลงทุน คำถามต่อเนื่องก็คือว่า หากเราสนใจ สามารถลงทุนในกองทุน ThaiESGX ได้อย่างไรและมีกองทุนไหนที่น่าสนใจ K WEALTH จึงขอนำเสนอ 2 กองทุน ThaiESGX ใหม่จาก บลจ.กสิกรไทย ผ่านบทความนี้ ไว้เป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน
2 กองทุน ThaiESGX จากค่ายกสิกรไทย
บลจ. กสิกรไทย ออกกองทุน ThaiESGX 2 กองทุน คือ
- กองทุน K-HDThaiESGX: กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้น 100% โดย HD ย่อมาจาก “High Dividend” จุดเด่นของหุ้นที่จะเลือกลงทุนคือเน้นความยั่งยืน ในที่นี้คือกองทุนได้ผลตอบแทนในรูปแบบของเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอและสูงกว่าค่าเฉลี่ยอัตราปันผลของบริษัทส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ เช่น หุ้นในกลุ่มธนาคาร พลังงาน และกลุ่มสื่อสาร ฯลฯ เพื่อส่งต่อผลตอบแทนนั้นให้กับผู้ลงทุนกองทุนนี้
-
กองทุน K-70ThaiESGX: กองทุนนี้ก็เน้นลงทุนหุ้นยั่งยืน จ่ายปันผลดีเหมือนกองทุนในข้อ 1 แต่ลงทุนหุ้นในสัดส่วนประมาณ 70% และนำส่วนของความยั่งยืน 30% ที่เหลือไปลงทุนในตราสารหนี้กลุ่ม Green Bond และ/หรือ Sustainability Bond และ/หรือ Sustainability-linked Bond คล้ายกับตราสารหนี้ที่ลงทุนในกองทุน K-BL30ThaiESG ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตราสารหนี้ที่มุ่งเน้นสนับสนุนความยั่งยืน หรือสอดคล้องกับ ESG Investing ทั้งสิ้น
โดยปี 68 กองทุน ThaiESGX แต่ละนโยบายจะมีการแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 2 ก้อน คือ 1) วงเงินลงทุนใหม่ เฉพาะปี 2568 เท่านั้น 2) วงเงินลงทุนเดิม ที่สับเปลี่ยนจาก LTF โดย K WEALTH ได้สรุปตารางข้อมูล เพื่อให้นักลงทุนรู้ครบจบก่อนตัดสินใจลงทุน
ที่มา: K Asset
2 กองทุน ThaiESGX จากกสิกรไทย มีมุมไหนที่น่าสนใจบ้าง
จุดขายของหุ้นยั่งยืน หุ้นปันผลสูง และตราสารหนี้ ที่กองทุน ThaiESGX ของกสิกรไปลงทุน สรุปได้ดังนี้
-
มีแนวโน้มทำผลตอบแทนในระยะยาวได้ดีกว่า SET Index พร้อมความผันผวนที่ต่ำกว่า: หากดูจากกราฟผลตอบแทนการลงทุนในช่วง 5 ปี ตั้งแต่ปี 2563-2568 จะเห็นว่าในภาพรวมดัชนีหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ไม่น่าดึงดูดใจนัก (+10%) (กราฟเส้นสีแดง) แต่หากเลือกลงทุนหุ้นพื้นฐานดี ซึ่งหนึ่งในนั้นคือหุ้นที่จ่ายปันผลสูง สะท้อนด้วยดัชนี SET High Dividend 30 TR THB (เส้นสีเขียว) จะเห็นว่าให้ผลตอบแทนที่สูงกว่ามาก (+80%) และหากดูผลตอบแทนตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงค่อนข้างเยอะ จะเห็นว่าดัชนี SET HD ขาดทุนน้อยกว่า สาเหตุเป็นเพราะว่าหุ้นใน SET HD มักเป็นหุ้นที่มีฐานะการเงินมั่นคง มีกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ นักลงทุนจึงค่อนข้างเชื่อมั่นว่าจะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลในระยะยาวจากหุ้นกลุ่มดังกล่าว
-
เลือกหุ้นแบบคัดหุ้นครีมๆ เน้นๆ: การสร้างพอร์ตการลงทุนหุ้นของกองทุน แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก หลังจากคัดหุ้นจาก ESG Rating ซึ่งถือเป็นการกรองหุ้นแล้วชั้นหนึ่ง เพราะหุ้นที่ได้ ESG Rating ดี มักมีปัจจัยพื้นฐานดี ความผันผวนของราคาหุ้นต่ำ และคัดกรองหุ้นมาในพอร์ตเน้นๆ 25-30 ตัว ในภาพรวมมีการกระจายการลงทุนในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดย 2 ส่วนหลักที่ว่า คือ
a. Core Portfolio [90-95%] ใช้ 2 ปัจจัยหลักในการคัดหุ้น คือ 1) จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและสูงกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นอื่นๆ ในดัชนี และ 2) คัดหุ้นตามผลการดำเนินงาน รายได้กำไรมั่นคง และเป็นผู้นำในธุรกิจ
b. Tactical Position [5-10%] หาหุ้นที่คุณภาพดี แต่ราคาลงไปลึกจนเป็นโอกาสเข้าซื้อที่ดี
-
ตราสารหนี้ก็คุณภาพแจ่ม: ต่อเนื่องมาจากการคัดเลือกหุ้น ตราสารหนี้ที่อยู่ในกองทุน K-70ThaiESGX ก็เลือกลงทุนแต่ตราสารหนี้คุณภาพ ที่มี Credit Rating จาก TRIS ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับเครดิตที่น่าเชื่อถือ ในระดับ A- ขึ้นไป หมายความว่าตราสารหนี้ที่ไปลงทุนนั้น ออกโดยบริษัทที่มีความสามารถในการชำระหนี้ค่อนข้างดี มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ต่ำ อีกทั้งเลือกลงทุนในพันธบัตร ESG สำหรับปรับ Duration ของพอร์ตตราสารหนี้ให้ยาวขึ้น ซึ่งเหมาะกับสภาวะลงทุนในปัจจุบันที่แนวโน้มดอกเบี้ยยังคงเป็นขาลงและเพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในภาวะเศรษฐกิจผันผวน
แล้วกองไหนเหมาะกับใคร เลือกลงทุนอย่างไรดี
สำหรับนักลงทุนที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วสนใจลงทุน แต่ยังไม่มีไอเดียว่าควรลงทุนอย่างไร ทาง K WEALTH ขอสรุปเพิ่มเติมให้เห็นภาพมากขึ้น สำหรับผู้ที่ปี 68 นี้ยังมีภาระต้องยื่นและเสียภาษีอยู่ ดังนี้
-
นักลงทุนที่สนใจลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน: ถ้าอยากลงหุ้นล้วนก็ K-HDThaiESGX ถ้าอยากมีตราสารหนี้ในพอร์ตเพื่อกระจายการลงทุนด้วยก็ K-70ThaiESGX
-
นักลงทุนที่ต้องการสิทธิลดหย่อนภาษี: ทั้งที่ไม่เคยลดหย่อนภาษีมาก่อน หรือต้องการวงเงินลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมจาก RMF/ ThaiESG การลงทุนกองทุน ThaiESGX ช่วง พ.ค. - มิ.ย. 68 ก็ช่วยเซฟภาษีได้อีก 5%-35%ของเงินลงทุน หรือประมาณ 15,000 - 105,000 บาท หรือผู้ที่ถือกองทุน LTF อยู่ หากเลือกสับเปลี่ยนไปกองทุน ThaiESGX ก็ได้ลดหย่อนภาษีเพิ่มขึ้นไปอีก
-
นักลงทุนระยะยาวที่รับความผันผวนได้: เพราะเงื่อนไขลงทุนต้องถืออย่างน้อย 5 ปี นับวันชนวันตั้งแต่วันที่เริ่มลงทุน/สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน และเนื่องจากสัดส่วนการลงทุนเป็นหุ้นค่อนข้างสูง และมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนบ้าง เพราะกองทุนสามารถลงทุนในตราสารต่างประเทศได้ไม่เกิน 20% ของ NAV นักลงทุนที่เหมาะกับกองทุนนี้จึงต้องรับความผันผวนได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: บลจ.กสิกรไทย