-
Moody''s ได้คงอันดับเครดิตของประเทศไทยประเภท Senior unsecured bond ที่ Baa1 และเปลี่ยนแนวโน้ม (Outlook) เป็น “Negative” จาก “Stable” เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงมากขึ้น เช่น มาตรการภาษีสหรัฐฯ และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้
-
เป็นโอกาสลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนแกว่งตัวสูงขึ้นในระยะสั้น พร้อมกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง ซึ่งส่งผลดีต่อการลงทุนในตราสารหนี้ แต่ควรระมัดระวังหุ้นไทย เนื่องจากความผันผวนในตลาด
Market Update
วันที่ 29 เม.ย. Moody''s ratings คงอันดับเครดิตของประเทศไทยประเภท Senior unsecured bond ที่ Baa1 แต่เปลี่ยนแนวโน้ม (Outlook) เป็น “Negative” จาก “Stable” โดยทั่วไปเป็นการแสดงมุมมองถึงแนวโน้มอันดับเครดิตในอนาคต ดังนั้นการได้ “Negative” แสดงว่ามีแนวโน้มที่อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดได้ในอนาคต ถือเป็นสัญญาณเตือนได้แต่ก็อาจจะถูกปรับกลับมาเป็น “Stable” ได้เช่นกัน
สาเหตุที่ปรับแนวโน้มเป็น Negative
- ความเสี่ยงเศรษฐกิจและภาคการคลังของไทย (Fiscal Strength) จะอ่อนแอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ
- ความไม่แน่นอนว่าหลังจากหมดช่วงพัก 90 วัน สหรัฐฯ จะประกาศภาษีเพิ่มเติมต่อไทยหรือไม่
- การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังโควิดยังช้า เสี่ยงซ้ำเติมการเติบโตระยะยาว (Potential Growth)
- Moody’s ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2568 ของไทยขยายตัวอยู่ที่ 2% จาก 2.9%
- เปรียบเทียบมุมมองเครดิต จากบริษัทจัดอันดับชั้นนำ เช่น S&P ยังคงมุมมอง “Stable” และ BBB + เมื่อ Apr-20 ในขณะที่ FITCH ยังคงมุมมอง “Stable” และ BBB + เมื่อ Nov-24
ผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้
อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้อาจปรับตัวสูงขึ้นได้บ้างในระยะสั้น สะท้อนความกังวลของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ไทยจะมีจำกัด เนื่องจาก
- เป็นการเปลี่ยนแปลงมุมมอง (Outlook) แต่อันดับเครดิตยังคงเดิมที่ระดับ Baa1 ขณะที่ Credit Rating Agency หลักอีก 2 แห่ง คือ S&P และ Fitch ยังคงอันดับเครดิตและมุมมองที่ระดับเดิม คือ BBB+ (Stable)
- สัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ไทยอยู่ในระดับต่ำ (ประมาณ 5% ของตลาดตราสารหนี้ หรือคิดเป็น 9.6% ของตลาดพันธบัตรรัฐบาลไทย เทียบ อินโดนีเซีย 14% และมาเลเซีย 21% ) นอกจากนี้ สภาพคล่องในประเทศยังอยู่ในระดับสูง
- นักลงทุนในตลาดจะยังให้น้ำหนักต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้าเป็นสำคัญ
Market Outlook
- ทาง K Research ประเมินเศรษฐกิจไทยอ่อนแอลงเช่นกัน หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในวันที่ 28 มี.ค. และประเด็นการขึ้นภาษีศุลกากร ทำให้ปรับลดประมาณการ GDP ปีนี้ลงเหลือ +1.4% จาก +2.4%
- ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลไทยเคลื่อนไหวสอดคล้องกับยีลด์พันธบัตรสหรัฐฯ ประกอบกับตลาดคาดว่า กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายช่วงปลายเดือนเมษายน อย่างไรก็ดี ส่วนต่างผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชนกับพันธบัตรรัฐบาล (Credit Spread) สำหรับหุ้นกู้อันดับเครดิต BBB ปรับเพิ่มสูงขึ้น
คำแนะนำการลงทุน
โอกาสทยอยสะสมกองทุนตราสารหนี้ แต่ระมัดระวังหุ้นไทย คาดว่าอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ในตลาดมีการแกว่งตัวสูงขึ้นและผันผวนบ้างในช่วงจังหวะแรก ถือเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนกองทุนตราสารหนี้ที่ได้อัตราผลตอบแทนสูงขึ้น (เนื่องจากราคาปรับตัวลง) อีกทั้งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังคงเป็นขาลงในระยะข้างหน้า ซึ่งส่งผลบวกต่อการลงทุนในตราสารหนี้
คำแนะนำกองทุนตราสารหนี้
- K-SFPLUS พักเงินระยะสั้น 3-6 เดือน เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ผ่านการลงทุนในต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS ลงทุนอย่างน้อย 1-1.5 ปี กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว ดูเรชั่น 2-4 ปี ที่ลงทุนทั้งในไทยและต่างประเทศ
คำแนะนำกองทุนหุ้นไทย
ยังไม่แนะนำลงทุนในหุ้นไทย เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจยังดูเปราะบาง และศักยภาพการเติบโตยังไม่น่าดึงดูดเท่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
- สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนไทย
- หากมีสัดส่วนมากกว่า 20% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS
- หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% แนะนำถือเพื่อรอติดตามความคืบหน้าของสงครามการค้า
- สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนไทย
- แนะนำชะลอการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างกองทุนทองคำ และติดตามสถานการณ์ความคืบหน้าของสงครามการค้าในช่วงเวลาต่อจากนี้อย่างใกล้ชิด
- เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WEALTHPLUS เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
- แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
- สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-STAR-A, K-VALUE ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
- ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง100%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง มากกว่า 90%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- K-STAR-A, K-VALUE: ไม่มีการลงทุนในต่างประเทศ
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS: T+1
- K-FIXEDPLUS-A, K-GOLD-A: T+2
- K-STAR-A, K-VALUE: T+3
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6