-
กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ลดดอกเบี้ย 0.25% จาก 2.00% เป็น 1.75% ตามคาด เนื่องจากความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการค้าจากสหรัฐฯ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยง และเงินเฟ้อมีแนวโน้มต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย
-
เป็นโอกาสลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลงทุนในตราสารหนี้ แต่ควรระมัดระวังหุ้นไทย
Market Update
กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ลดดอกเบี้ย 0.25% จาก 2.00% สู่ระดับ 1.75% ตามคาด จากความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการค้าจากสหรัฐฯ และการตอบโต้จากประเทศอื่นๆ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงขาลงจากนโยบายการค้าโลกและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง และเงินเฟ้อมีแนวโน้มต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย กนง. ประเมินเศรษฐกิจไทยยังมีความไม่แน่นอนสูงมาก ใน Scenario ที่การเจรจาทางการค้ามีความยืดเยื้อและภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ใกล้เคียงกับอัตราปัจจุบัน คาด GDP ปี 2025 +2.0% และใน Scenario ที่สงครามการค้ารุนแรงมาก คาด GDP จะเติบโตเพียง +1.3%
Related Indices & Funds (ข้อมูลวันที่ 30 เมษายน 2568)
SET Index +0.9%
ตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้น จากความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของกนง. และการเจรจาทางการค้า ในขณะที่ไม่ได้กังวลหลัง Moody''s ปรับลด Outlook เป็น Negative ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เนื่องจากผลการประชุมกนง.เป็นไปตามคาด
คำแนะนำการลงทุน
โอกาสทยอยสะสมกองทุนตราสารหนี้ แต่ระมัดระวังหุ้นไทย คาดว่าอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ในตลาดมีการแกว่งตัวสูงขึ้นและผันผวนบ้างในช่วงจังหวะแรก ถือเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนกองทุนตราสารหนี้ที่ได้อัตราผลตอบแทนสูงขึ้น (เนื่องจากราคาปรับตัวลง) อีกทั้งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังคงเป็นขาลงในระยะข้างหน้า ซึ่งส่งผลบวกต่อการลงทุนในตราสารหนี้
คำแนะนำกองทุนตราสารหนี้
- K-SFPLUS พักเงินระยะสั้น 3-6 เดือน เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ผ่านการลงทุนในต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS ลงทุนอย่างน้อย 1-1.5 ปี กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว ดูเรชั่น 2-4 ปี ที่ลงทุนทั้งในไทยและต่างประเทศ
คำแนะนำกองทุนหุ้นไทย
ยังไม่แนะนำลงทุนในหุ้นไทย เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจยังดูเปราะบาง และศักยภาพการเติบโตยังไม่น่าดึงดูดเท่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
-
สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนไทย
- หากมีสัดส่วนมากกว่า 20% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS-A
- หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% แนะนำถือเพื่อรอติดตามความคืบหน้าของสงครามการค้า
-
สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นไทย
- แนะนำชะลอการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างกองทุนหุ้นไทย และติดตามสถานการณ์ความคืบหน้าของสงครามการค้าในช่วงเวลาต่อจากนี้อย่างใกล้ชิด
- เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WEALTHPLUS เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
- แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
- สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-STAR-A, K-VALUE ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง100%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง มากกว่า 90%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- K-STAR-A, K-VALUE: ไม่มีการลงทุนในต่างประเทศ
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS: T+1
- K-FIXEDPLUS-A: T+2
- K-STAR-A, K-VALUE: T+3
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6