ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราคงได้ยินคำว่า "บิทคอยน์" (Bitcoin) กันอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นข่าวราคาที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ หรือการที่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Tesla และ MicroStrategy เริ่มนำเงินสำรองบางส่วนมาลงทุนในบิทคอยน์ แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว บิทคอยน์คืออะไรกันแน่ ทำไมหลายคนจึงให้ความสนใจ และมีความเสี่ยงอะไรบ้างที่ควรรู้ก่อนลงทุน บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับบิทคอยน์ตั้งแต่พื้นฐาน เพื่อให้เข้าใจได้อย่างถ่องแท้ก่อนตัดสินใจลงทุน
Bitcoin คืออะไร และต่างจากเงินทั่วไปอย่างไร?
บิทคอยน์ (Bitcoin) คือ สกุลเงินดิจิทัลรูปแบบหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นในปี 2009 โดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ใช้นามแฝงว่า "ซาโตชิ นาคาโมโต้" (Satoshi Nakamoto) จุดประสงค์หลักคือ การสร้างระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) ที่ไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางอย่างธนาคารหรือสถาบันการเงิน บิทคอยน์ถูกออกแบบให้มีจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้มีความคล้ายคลึงกับทองคำในโลกดิจิทัล และแตกต่างจากเงินสกุลทั่วไปที่สามารถพิมพ์เพิ่มได้ไม่จำกัด
บิทคอยน์ทำงานบนเทคโนโลยีที่เรียกว่า "บล็อกเชน" (Blockchain) ซึ่งเป็นระบบบัญชีแบบกระจายศูนย์ที่บันทึกธุรกรรมทั้งหมดไว้ในฐานข้อมูลสาธารณะ ทำให้ทุกคนสามารถตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมได้ แต่ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลที่ถูกบันทึกไปแล้วได้ ความพิเศษนี้ทำให้บิทคอยน์มีความโปร่งใสและปลอดภัยสูง เพราะไม่มีศูนย์กลางที่สามารถควบคุมหรือปลอมแปลงข้อมูลได้
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างบิทคอยน์กับเงินทั่วไปมีดังนี้
การกระจายอำนาจ บิทคอยน์ไม่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือธนาคารกลางใดๆ แต่ทำงานผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลก ต่างจากเงินสกุลทั่วไปที่ถูกควบคุมโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ
ปริมาณที่จำกัด บิทคอยน์ถูกออกแบบให้มีจำนวนสูงสุดเพียง 21 ล้านเหรียญ ซึ่งจะขุดได้ครบในปี 2140 ตามการคาดการณ์ ต่างจากเงินสกุลทั่วไปที่สามารถพิมพ์เพิ่มได้ตามนโยบายของรัฐบาล
ความโปร่งใส ธุรกรรมทั้งหมดของบิทคอยน์ถูกบันทึกบนบล็อกเชนสาธารณะ ทำให้ทุกคนสามารถตรวจสอบได้ ต่างจากระบบธนาคารทั่วไปที่ข้อมูลธุรกรรมถูกเก็บเป็นความลับ
การทำธุรกรรม การโอนบิทคอยน์สามารถทำได้โดยตรงระหว่างผู้ใช้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางอย่างธนาคาร ทำให้สามารถโอนเงินข้ามประเทศได้อย่างรวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าระบบธนาคารทั่วไป
ทำไมคนถึงสนใจ Bitcoin?
ความนิยมในบิทคอยน์ที่เพิ่มสูงขึ้นมาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ทำให้บิทคอยน์เป็นทางเลือกที่หลายคนสนใจในโลกการเงินปัจจุบัน
จุดเด่นของระบบกระจายศูนย์
บิทคอยน์ไม่ขึ้นอยู่กับการควบคุมของรัฐบาลหรือธนาคารกลาง ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายการเงินของประเทศใดประเทศหนึ่ง ในช่วงวิกฤตการเงินหรือเศรษฐกิจไม่มั่นคง หลายคนมองว่าบิทคอยน์เป็นที่เก็บมูลค่าที่ปลอดภัยกว่าเงินสกุลทั่วไปที่อาจเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูง ยิ่งไปกว่านั้น ในประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเงินต่ำ การถือครองบิทคอยน์อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการรักษามูลค่าทรัพย์สิน
ความโปร่งใสและความปลอดภัย
ทุกธุรกรรมบนเครือข่ายบิทคอยน์ถูกบันทึกไว้บนบล็อกเชนสาธารณะที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ทำให้ระบบมีความโปร่งใสสูง นอกจากนี้ การที่บิทคอยน์ใช้การเข้ารหัสแบบเข้มข้นในการป้องกันธุรกรรม ทำให้การปลอมแปลงหรือโจมตีระบบเป็นไปได้ยากมาก หากผู้ใช้รักษาความปลอดภัยของกระเป๋าเงินดิจิทัล (Wallet) ของตนอย่างเหมาะสม
บิทคอยน์ในฐานะ "ทองคำดิจิทัล"
บิทคอยน์ถูกออกแบบให้มีจำนวนจำกัด ซึ่งคล้ายคลึงกับทองคำที่มีอยู่จำกัดในธรรมชาติ ด้วยคุณสมบัตินี้ หลายคนจึงมองว่าบิทคอยน์เป็น "ทองคำดิจิทัล" ที่สามารถใช้เป็นที่เก็บมูลค่าในระยะยาวเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ในช่วงที่ธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจอย่างมาก บิทคอยน์ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกที่มีอุปทานจำกัด
โอกาสในการลงทุน
ราคาของบิทคอยน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้กลายเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่ได้รับความสนใจ แม้ว่าจะมีความผันผวนสูง แต่ในระยะยาวบิทคอยน์มีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ โดยบิทคอยน์เริ่มต้นในปี 2009 ด้วยมูลค่าเพียงไม่กี่เซ็นต์ แต่ปัจจุบันมีมูลค่าหลายหมื่นดอลลาร์ต่อเหรียญ นอกจากนี้ การที่สถาบันการเงินและบริษัทขนาดใหญ่เริ่มลงทุนในบิทคอยน์ก็ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินทรัพย์ดิจิทัลนี้มากขึ้น
การทำงานของ Bitcoin และวิธีเก็บรักษา
การทำความเข้าใจกลไกการทำงานของบิทคอยน์จะช่วยให้เราเข้าใจคุณค่าและศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ได้ดียิ่งขึ้น
ธุรกรรมบนเครือข่าย
เมื่อมีการโอนบิทคอยน์ระหว่างผู้ใช้ ข้อมูลธุรกรรมจะถูกส่งไปยังเครือข่ายบิทคอยน์ทั่วโลก จากนั้น "นักขุด" (Miners) จะรวบรวมธุรกรรมเหล่านี้เข้าเป็นบล็อก และแข่งขันกันเพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน เมื่อนักขุดแก้ปัญหาได้สำเร็จ บล็อกใหม่จะถูกเพิ่มเข้าไปในบล็อกเชน และนักขุดจะได้รับรางวัลเป็นบิทคอยน์ ปัจจุบันรางวัลอยู่ที่ 6.25 บิทคอยน์ต่อบล็อก และจะลดลงครึ่งหนึ่งทุกๆ 210,000 บล็อก (ประมาณทุก 4 ปี) เรียกว่า "การลดรางวัลครึ่งหนึ่ง" (Halving) โดยกระบวนการนี้เรียกว่า "การขุด" (Mining) และเป็นวิธีที่ทำให้บิทคอยน์ใหม่ๆ เข้าสู่ระบบ การขุดเริ่มต้นสามารถทำได้ด้วยคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วไป แต่ปัจจุบันต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะทางที่มีประสิทธิภาพสูงอย่าง ASIC (Application Specific Integrated Circuit) และต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก ทำให้การขุดบิทคอยน์กลายเป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนสูงและมีการแข่งขันสูง
ทุกธุรกรรมที่ผ่านการยืนยันแล้วจะถูกบันทึกไว้ในบล็อกเชนอย่างถาวร ทำให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ตลอด ซึ่งช่วยป้องกันการโกงหรือการใช้เหรียญซ้ำ (Double Spending) นอกจากนี้ ด้วยการที่บล็อกเชนถูกกระจายไปยังคอมพิวเตอร์หลายพันเครื่องทั่วโลก ทำให้ไม่มีจุดศูนย์กลางที่อาจถูกโจมตีหรือล้มเหลวได้
Hot Wallet vs Cold Wallet
เมื่อเป็นเจ้าของบิทคอยน์ สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ วิธีการเก็บรักษาให้ปลอดภัย บิทคอยน์จะถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัล (Wallet) ซึ่งแบ่งเป็นสองประเภทหลัก
- Hot Wallet (กระเป๋าเงินร้อน) เป็นกระเป๋าเงินที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เช่น แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน หรือบัญชี ในแพลตฟอร์มซื้อขาย (Exchange) ข้อดีคือ สะดวกในการใช้งาน สามารถโอนหรือซื้อขายได้รวดเร็ว แต่ข้อเสียคือ มีความเสี่ยงจาก การโจมตีทางอินเทอร์เน็ต เหมาะสำหรับการเก็บบิทคอยน์จำนวนไม่มากที่ต้องการใช้งานบ่อย
-
Cold Wallet (กระเป๋าเงินเย็น) เป็นกระเป๋าเงินที่ไม่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เช่น ฮาร์ดแวร์วอลเล็ต (Hardware Wallet) หรือกระเป๋าเงินกระดาษ (Paper Wallet) ข้อดีคือ มีความปลอดภัยสูงกว่าเพราะไม่เสี่ยงต่อการโจมตีทางอินเทอร์เน็ต แต่ ข้อเสียคือ ไม่สะดวกในการใช้งานบ่อยๆ เหมาะสำหรับการเก็บบิทคอยน์จำนวนมากในระยะยาว
สำหรับผู้เริ่มต้น การใช้ Hot Wallet บนแพลตฟอร์มซื้อขายที่น่าเชื่อถืออาจเป็นตัวเลือกที่สะดวกที่สุด แต่หากถือครองบิทคอยน์ในปริมาณมาก การลงทุนในฮาร์ดแวร์วอลเล็ตเพื่อความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ควรพิจารณา
ข้อดีและความเสี่ยงของ Bitcoin
ข้อดีและโอกาสในการเติบโต
-
การป้องกันเงินเฟ้อ ด้วยจำนวนที่มีอยู่อย่างจำกัด บิทคอยน์จึงมีศักยภาพในการเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ในขณะที่สกุลเงินทั่วไปอาจเผชิญกับการลดค่าเนื่องจากการพิมพ์เงินเพิ่มของรัฐบาล
-
การยอมรับที่เพิ่มขึ้น บิทคอยน์กำลังได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากบริษัทขนาดใหญ่ที่เริ่มรับชำระเงินด้วยบิทคอยน์ และสถาบันการเงินที่เริ่มมองว่าเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าสนใจ การยอมรับที่เพิ่มขึ้นนี้อาจส่งผลดีต่อมูลค่าในระยะยาว
-
นวัตกรรมทางการเงิน บิทคอยน์เป็นต้นแบบของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่นำไปสู่นวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ เช่น สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) และการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงระบบการเงินโลกในอนาคต
-
การเข้าถึงทางการเงิน บิทคอยน์ช่วยให้ผู้คนที่ไม่มีบัญชีธนาคารสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ เพียงแค่มีสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่ระบบธนาคารยังไม่ทั่วถึง
ความเสี่ยงที่ต้องระวัง
- ความผันผวนสูง ราคาของบิทคอยน์มีความผันผวนสูงมาก สามารถเพิ่มหรือลดมูลค่าหลายสิบเปอร์เซ็นต์ในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้ไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงหรือผู้ที่ต้องการความมั่นคงในระยะสั้น
-
ความเสี่ยงด้านกฎหมายและกฎระเบียบ หลายประเทศยังไม่มีกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับบิทคอยน์ และบางประเทศอาจมีการควบคุมหรือห้ามใช้ในอนาคต การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อมูลค่าและการใช้งาน
-
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย แม้ว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนจะมีความปลอดภัยสูง แต่ผู้ใช้ยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวง การแฮ็กแพลตฟอร์มซื้อขาย หรือการสูญหายของรหัสส่วนตัว (Private Key) ซึ่งอาจทำให้สูญเสียบิทคอยน์ได้อย่างถาวร
-
ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี มีความเสี่ยงที่เทคโนโลยีใหม่ๆ อาจทำให้บิทคอยน์ล้าสมัยหรือมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่ยังไม่ถูกค้นพบ
-
การใช้พลังงานไฟฟ้าสูง กระบวนการขุดบิทคอยน์ใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และอาจเผชิญกับแรงกดดันจากสังคมหรือกฎระเบียบในอนาคต
Bitcoin vs การลงทุนทางเลือกอื่น
การเปรียบเทียบบิทคอยน์กับการลงทุนทางเลือกอื่นๆ จะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นว่าบิทคอยน์เหมาะกับพอร์ตการลงทุนของเราหรือไม่
เปรียบเทียบกับทองคำ
-
การเก็บรักษา บิทคอยน์สามารถเก็บได้ในรูปแบบดิจิทัลโดยไม่ต้องการพื้นที่จัดเก็บทางกายภาพ ในขณะที่ทองคำต้องการพื้นที่จัดเก็บทางกายภาพและมีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา
- การขนส่ง บิทคอยน์สามารถโอนไปทั่วโลกได้ในเวลาไม่กี่นาทีโดยมีค่าธรรมเนียมต่ำ ในขณะที่ทองคำมีข้อจำกัดในการขนส่งและมีค่าใช้จ่ายสูง
-
การแบ่งย่อย บิทคอยน์สามารถแบ่งย่อยได้ถึง 0.00000001 BTC (หรือ 1 Satoshi) ทำให้สามารถซื้อขายในจำนวนเล็กน้อยได้ ในขณะที่ทองคำแบ่งย่อยได้ยากกว่า
เปรียบเทียบกับกองทุนเทคโนโลยี
กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่สนใจในนวัตกรรมและการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัล
-
ความเสี่ยง กองทุนเทคโนโลยีมีความเสี่ยงและความผันผวนน้อยกว่าบิทคอยน์ เนื่องจากลงทุนในบริษัทที่มีรายได้จริงและธุรกิจที่เป็นรูปธรรม
-
การกระจายความเสี่ยง กองทุนเทคโนโลยีมีการกระจายการลงทุนในหลายบริษัท ทำให้ความเสี่ยงกระจายตัวได้ดีกว่าการลงทุนในบิทคอยน์เพียงอย่างเดียว
- การบริหารจัดการ กองทุนเทคโนโลยีมีผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญคอยบริหารจัดการการลงทุน ในขณะที่การลงทุนในบิทคอยน์ต้องบริหารจัดการด้วยตนเอง
-
ผลตอบแทนในรูปเงินปันผล บางกองทุนเทคโนโลยีอาจมีการจ่ายเงินปันผล ในขณะที่บิทคอยน์ไม่มีการจ่ายผลตอบแทนในลักษณะนี้
เหมาะกับนักลงทุนประเภทใด?
บิทคอยน์เหมาะกับนักลงทุน
-
ยอมรับความเสี่ยงสูง พร้อมรับความผันผวนที่อาจทำให้มูลค่าลดลงอย่างมากในระยะสั้น
-
มีมุมมองระยะยาว มองการลงทุนในระยะเวลา 5-10 ปีขึ้นไป ไม่จำเป็นต้องใช้เงินในระยะสั้น
-
เข้าใจเทคโนโลยี มีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับบล็อกเชนและวิธีการทำงานของบิทคอยน์
-
สามารถจัดการความปลอดภัย มีความรู้และความสามารถในการเก็บรักษาบิทคอยน์ให้ปลอดภัย
-
ต้องการกระจายความเสี่ยง มองบิทคอยน์เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย ไม่ใช่การลงทุนหลักทั้งหมด
ถ้าไม่อยากเสี่ยงสูง - ตัวเลือกการลงทุนแบบ "คล้ายบิทคอยน์" ที่ง่ายกว่า
หากสนใจในการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมทางการเงิน แต่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงสูงจากการลงทุนโดยตรงในบิทคอยน์ มีทางเลือกอื่นที่น่าสนใจและมีความเสี่ยงต่ำกว่า
บริการ Wealth PLUS
Wealth PLUS เป็นบริการจากธนาคารกสิกรไทยที่ช่วยให้สามารถเริ่มต้นลงทุนได้อย่างง่ายดาย แม้ไม่มีเวลาหรือประสบการณ์ในการลงทุนก็สามารถลงทุนได้
-
เริ่มต้นด้วยเงินเพียง 1,000 บาท สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ด้วยเงินจำนวนน้อย ไม่จำเป็นต้องมีเงินก้อนใหญ่
- ไม่ต้องเลือกเอง-ระบบดูแลพอร์ตให้ ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจะช่วยบริหารพอร์ตการลงทุนให้ ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการเลือกหุ้นหรือกองทุนด้วยตนเอง
-
มีโอกาสเติบโตผ่านกองทุนเทคโนโลยีระดับโลก บริการนี้มีการลงทุนในกองทุนที่เน้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัล โดยมีความเสี่ยงที่กระจายตัวมากกว่า
-
มีการกระจายความเสี่ยง พอร์ตการลงทุนมีการกระจายความเสี่ยงไปในหลายสินทรัพย์และหลายภูมิภาค ทำให้มีความผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในบิทคอยน์โดยตรง
-
สามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่าน K PLUS สามารถเริ่มลงทุนและติดตามพอร์ตการลงทุนได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน K PLUS
กองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับบล็อกเชนและดิจิทัล
นอกจากบริการ Wealth PLUS แล้ว ยังมีกองทุน ETF (Exchange Traded Fund) ที่ลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นอีกทางเลือกที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนโดยตรงในบิทคอยน์ กองทุนเหล่านี้ลงทุนในบริษัทที่พัฒนาหรือใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน บริษัทที่ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือบริษัทที่ถือครองบิทคอยน์เป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์
บิทคอยน์เป็นนวัตกรรมทางการเงินที่กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่เรามองระบบการเงินและการแลกเปลี่ยนมูลค่า ด้วยคุณสมบัติที่ไม่มีตัวกลางควบคุม มีความโปร่งใส และจำนวนที่จำกัด ทำให้บิทคอยน์มีศักยภาพในการเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตาม การลงทุนในบิทคอยน์มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูง ทั้งความผันผวนของราคา ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ และความเสี่ยงด้านความปลอดภัย นักลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับผู้ที่สนใจในเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน แต่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงสูงจากการลงทุนโดยตรงในบิทคอยน์ บริการ Wealth PLUS และกองทุนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเป็นทางเลือกที่น่าสนใจที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าและมีการกระจายความเสี่ยงที่ดีกว่า
การลงทุนที่ดีควรเริ่มต้นจากการเข้าใจตนเอง ทั้งเป้าหมายทางการเงิน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และระยะเวลาการลงทุน และที่สำคัญที่สุดคือ การกระจายความเสี่ยงโดยไม่ลงทุนในสินทรัพย์เพียงประเภทเดียว เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่มั่นคงและเติบโตได้ในระยะยาว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : บลจ.กสิกรไทย, SET Investnow