การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศที่มีขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทยที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ซึ่งดัชนี "ดาวโจนส์" ถือเป็นหนึ่งในดัชนีที่ได้รับความนิยม บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับดัชนีดาวโจนส์อย่างละเอียด พร้อมแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมกับนักลงทุนไทย
ดัชนีดาวโจนส์ คืออะไร?
ความหมายของดาวโจนส์
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average : DJIA) คือ ดัชนีหุ้นที่รวบรวม 30 บริษัทชั้นนำที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ดัชนีนี้ใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามราคา (Price-weighted) ซึ่งแตกต่างจากดัชนีอื่นๆ เช่น Nasdaq Composite หรือ S&P 500 ที่ใช้มูลค่าตลาด (Market Capitalization) เป็นตัวแทนวัดผลการดำเนินงานของภาคธุรกิจสหรัฐฯ โดยรวม
ประวัติความเป็นมาโดยย่อ
ดัชนีดาวโจนส์ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 1896 โดย ชาร์ลส์ ดาว (Charles Dow) ผู้ร่วมก่อตั้งหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal และบริษัท Dow Jones & Company ในช่วงแรกประกอบด้วยหุ้นเพียง 12 บริษัท โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรม แต่ปัจจุบันได้ขยายเป็น 30 บริษัท ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม ปัจจุบันดัชนีดาวโจนส์อยู่ภายใต้การดูแลของ S&P Dow Jones Indices และองค์ประกอบของดัชนีจะมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมเพื่อให้สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ดีที่สุด
ทำไมถึงสำคัญในตลาดหุ้นโลก
ดัชนีดาวโจนส์เป็นหนึ่งในดัชนีหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดและได้รับการติดตามอย่างกว้างขวางที่สุดในโลก แม้จะประกอบด้วยบริษัทเพียง 30 แห่ง แต่ทุกบริษัทล้วนเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีความมั่นคงสูงและเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของตัวเอง ทำให้ดัชนีนี้กลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญของสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ และตลาดหุ้นทั่วโลกให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของดัชนีนี้
หุ้นดาวโจนส์ มีบริษัทอะไรบ้าง?
ตัวอย่างบริษัทในดัชนี Dow Jones
ปัจจุบันดัชนีดาวโจนส์ประกอบด้วยบริษัทชั้นนำ 30 แห่ง ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม ได้แก่
- กลุ่มเทคโนโลยี: Microsoft, Apple, NVIDIA, Salesforce
- กลุ่มการเงิน: Goldman Sachs, JPMorgan Chase, Visa, American Express
- กลุ่มสุขภาพ: UnitedHealth Group, Johnson & Johnson, Merck
- กลุ่มค้าปลีก: Walmart, Home Depot, McDonald''s, Nike
- กลุ่มอุตสาหกรรม: Boeing, Caterpillar, 3M, Honeywell
- กลุ่มพลังงาน: Chevron
- กลุ่มอื่นๆ: Disney, Coca-Cola, Procter & Gamble
(ข้อมูล ณ พฤษภาคม 2568)
จุดเด่นของบริษัทเหล่านี้
บริษัทในดัชนีดาวโจนส์ล้วนเป็นชื่อที่หลายคนคุ้นเคยในครัวเรือน ครอบคลุมหลากหลายภาคธุรกิจ และหลายบริษัทได้อยู่ในดัชนีนี้มาเป็นเวลาหลายปี ทุกบริษัทมีคุณสมบัติสำคัญ คือ
- เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงดีเยี่ยม
- มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
- เป็นที่สนใจของนักลงทุนจำนวนมาก
- มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง
- ส่วนใหญ่จ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ
การเปลี่ยนแปลงของบริษัทในดัชนี
ดัชนีดาวโจนส์มีการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบมาแล้ว 59 ครั้งนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในปี 1896 โดยการเปลี่ยนแปลงล่าสุดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 คือ การนำ NVIDIA เข้ามาแทนที่ Intel และนำ Sherwin-Williams เข้ามาแทนที่ Dow Inc. การปรับเปลี่ยนเหล่านี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากเดิมที่เน้นอุตสาหกรรมหนัก มาเป็นเทคโนโลยี การเงิน และการบริการมากขึ้น
ทำไมดาวโจนส์ถึงน่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทย
เปรียบเทียบกับตลาดหุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทย (SET) มีจุดเด่นในเรื่องความคุ้นเคยและความเข้าใจในธุรกิจสำหรับนักลงทุนไทย แต่ดัชนีดาวโจนส์มีข้อ ได้เปรียบหลายประการ ได้แก่
- ขนาดตลาดที่ใหญ่กว่ามาก
- บริษัทในดัชนีดาวโจนส์มีความเป็นสากลสูง มีรายได้จากทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศ
- ความหลากหลายของอุตสาหกรรมที่มากกว่า โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก
ความเสถียรและการจ่ายเงินปันผล
บริษัทในดัชนีดาวโจนส์มีประวัติการเติบโตและจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดย 10 บริษัทที่มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงสุดในดัชนีจะได้รับการขนานนามว่า "Dogs of the Dow" และมักเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนที่มองหารายได้ประจำ บริษัทในดัชนีดาวโจนส์หลายแห่งจัดเป็น Dividend Aristocrats ที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นทุกปีติดต่อกันมากกว่า 25 ปี
บทบาทของดาวโจนส์ในพอร์ตการลงทุนแบบ Global
การลงทุนในดัชนีดาวโจนส์ช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถกระจายความเสี่ยงออกจากตลาดในประเทศ ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนโดยรวม และยังเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินบาทที่อาจอ่อนค่าในระยะยาว
วิธีการลงทุนในดาวโจนส์
ลงทุนผ่านกองทุน Feeder Fund
การลงทุนผ่านกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในดัชนีดาวโจนส์หรือหุ้นสหรัฐฯ เป็นวิธีที่สะดวกสำหรับนักลงทุนไทย โดยมีกองทุนที่ น่าสนใจ เช่น
SCBDJI(A)
- ลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี Dow Jones Industrial Average โดยมีเป้าหมายให้ผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีดังกล่าว
K-USA-A
- ลงทุนในหุ้นของบริษัทสหรัฐฯ ที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีรูปแบบธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
ลงทุนผ่านกองทุน Global Equity Fund
นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นทั่วโลก เช่น
K-GLOBE
- ลงทุนในหุ้นของประเทศต่างๆ ภูมิภาคต่างๆ หรือกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นทั่วโลก
นอกจากนี้ ยังมีกองทุน SPDR Dow Jones Industrial Average ETF Trust (DIA) ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่ติดตามดัชนีดาวโจนส์โดยตรงเพียงกองทุนเดียว โดยนักลงทุนต้องมีบัญชีกับโบรกเกอร์จึงจะสามารถลงทุนได้โดยตรง รวมถึงการซื้อหุ้นรายตัวที่สนใจในดัชนีดาวโจนส์
ข้อควรรู้ก่อนลงทุนในดัชนีดาวโจนส์
ความเสี่ยงที่ควรเข้าใจ
การลงทุนในดัชนีดาวโจนส์มาพร้อมความเสี่ยงสำคัญที่ควรเข้าใจ ได้แก่ ความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อเงินบาทแข็งค่าอาจลดทอนผลตอบแทนเมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาท การกระจุกตัวของการลงทุนเพียง 30 บริษัทอาจไม่สะท้อนความหลากหลายของตลาดได้อย่างครบถ้วน และการถ่วงน้ำหนักตามราคาหุ้นทำให้บริษัทที่มีราคาหุ้นสูงมีอิทธิพลต่อดัชนีมากกว่าแม้จะมีขนาดธุรกิจเล็กกว่า
ปัจจัยเศรษฐกิจที่มีผล
ดัชนีดาวโจนส์ได้รับอิทธิพลโดยตรงจากปัจจัยเศรษฐกิจหลายประการ โดยเฉพาะนโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญอย่างการจ้างงาน เงินเฟ้อ และ GDP รวมถึงผลประกอบการรายไตรมาสของบริษัทในดัชนี ตลอดจนนโยบายการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่กระทบต่อบริษัทเหล่านี้ซึ่งมีการดำเนินธุรกิจในระดับโลก
การลงทุนในดัชนีดาวโจนส์ควรเป็นการลงทุนระยะยาว และกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ตราสารหนี้ ทองคำ โดยนักลงทุนควรทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด พร้อมทั้งติดตามข้อมูลเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของบริษัทในดัชนีอย่างต่อเนื่องเพื่อผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- SCBDJI(A), K-USA-A(A), K-GLOBE: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- SCBDJI(A): ป้องกันความเสี่ยงไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-USA-A(A): ป้องกันความเสี่ยงไม่น้อยกว่า 75% ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-GLOBE: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- SCBDJI(A): T+2
- K-USA-A(A), K-GLOBE: T+4
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : บลจ.กสิกรไทย, SET Investnow