-
อินเดียเปิดปฏิบัติการโจมตีเป้าหมาย 9 จุดในเขตชายแดนฝั่งปากีสถาน โดยฝั่งอินเดียเผยว่าปฏิบัติการของตนกำหนดเป้าหมายเฉพาะค่ายก่อการร้ายที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ส่วนฝั่งปากีสถานเผยว่าพลเรือนถูกสังหารในการโจมตีครั้งนี้
-
สถานการณ์ดังกล่าวมีโอกาสสร้างความผันผวนต่อตลาดหุ้นอินเดียในระยะสั้น อย่างไรก็ตามคาดว่าสถานการณ์จะอยู่ในวงจำกัดแถบชายแดนแคว้นแคชเมียร์และจามู ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการกระทบกระทั่งกันมาอย่างยาวนาน นักวิเคราะห์ต่างคาดไว้ก่อนแล้วว่าทางการอินเดียจะเปิดปฏิบัติการตอบโต้ ดังนั้นสถานการณ์ดังกล่าวจึงมีโอกาสต่ำมากที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอินเดียในระยะกลางถึงยาว
-
K WEALTH จึงมองว่าหากมีความผันผวนของตลาดหุ้นอินเดียอันเกิดจากปัจจัยด้านความไม่สงบระหว่างอินเดียและปากีสถาน จะเป็นโอกาสที่น่าสนใจในการทยอยลงทุนกองทุนหุ้นอินเดีย
Market Update
เมื่อเช้าที่ผ่านมาอินเดียเปิดปฏิบัติการโจมตีเป้าหมาย 9 จุดในเขตชายแดนฝั่งปากีสถาน ขณะที่หน่วยงานด้านความมั่นคงของกองทัพอากาศปากีสถานตอบโต้ด้วยการยิงเครื่องบินรบอินเดียตก 5 ลำ โดยฝั่งอินเดียเผยว่าปฏิบัติการของตนกำหนดเป้าหมายเฉพาะค่ายก่อการร้ายที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ส่วนฝั่งปากีสถานเผยว่าพลเรือนถูกสังหารในการโจมตีครั้งนี้
ข้อมูลจาก FlightRadar24 ชี้ว่าสายการบินส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงการใช้น่านฟ้าของปากีสถาน และสายการบินอินเดีย เช่น IndiGo และ SpiceJet เผยว่าสนามบินและเที่ยวบินทางตอนเหนือของอินเดียได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว
Related Indices & Funds (ข้อมูลวันที่ 6 พฤษภาคม 2025)
- Nifty 50: 24,379.60 -0.33%
- BSE Sensex: 80,641.07 -0.19%
Market Outlook
สถานการณ์ดังกล่าวมีโอกาสสร้างความผันผวนต่อตลาดหุ้นอินเดียในระยะสั้น อย่างไรก็ตามคาดว่าสถานการณ์จะอยู่ในวงจำกัดแถบชายแดนแคว้นแคชเมียร์และจามู ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการกระทบกระทั่งกันมาอย่างยาวนาน รวมถึงนักวิเคราะห์ต่างคาดไว้ก่อนแล้วว่าทางการอินเดียจะเปิดปฏิบัติการตอบโต้ ดังนั้นสถานการณ์ดังกล่าวจึงมีโอกาสต่ำมากที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอินเดียในระยะกลางถึงยาว รวมถึงด้านปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจอินเดีย
K WEALTH จึงมองว่าหากมีความผันผวนของตลาดหุ้นอินเดียอันเกิดจากปัจจัยด้านความไม่สงบระหว่างอินเดียและปากีสถาน จะเป็นโอกาสที่น่าสนใจในการทยอยลงทุนกองทุนหุ้นอินเดีย โดยเศรษฐกิจอินเดียยังมีปัจจัยหนุนจากการผ่อนคลายนโยบายการเงิน รวมถึงทิศทางการเจรจาการค้าที่มีแนวโน้มในเชิงบวก นอกจากนี้อินเดียยังได้กระจายความเสี่ยงด้วยการเปิดข้อตกลงการค้ากับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งล่าสุดได้มีข้อตกลงร่วมกับสหราชอาณาจักร
คำแนะนำการลงทุน
- สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นอินเดีย
- หากมีสัดส่วนมากกว่า 20% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS
- หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% แนะนำ “ทยอยสะสม”
- สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นอินเดีย
- สามารถทยอยเข้าลงทุนในกองทุนอินเดียได้
- เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WEALTHPLUS เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
- แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
- สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-INDIA-A, K-INDX ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง100%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง มากกว่า 90%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- K-INDIA-A, K-INDX: ป้องกันความเสี่ยงบางส่วน
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS: T+1
- K-FIXEDPLUS-A: T+2
- K-INDX: T+3
- K-INDIA-A: T+4
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6