-
ตลาดหุ้นจีนขยับขึ้นหลังธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ย Reverse Repo อายุ 7 วัน เหลือ 1.4% จาก 1.5% รวมถึงลดอัตราส่วนสำรองของธนาคารลง 0.5% เพื่อเพิ่มสภาพคล่องกว่า 1 ล้านล้านหยวน และสหรัฐฯกับจีนประกาศเจรจาการค้ารอบใหม่ที่สวิตเซอร์แลนด์ในสุดสัปดาห์นี้ เพื่อลดความตึงเครียดจากสงครามภาษี
-
K WEALTH มองว่า ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนในระยะสั้นอาจยังมีความผันผวนตามข่าวสารระหว่างประเทศ แต่ในระยะกลางถึงยาว ทิศทางจะขึ้นอยู่กับความต่อเนื่องของมาตรการกระตุ้นภายในประเทศ และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนภายใต้โครงสร้างที่เปลี่ยนไป แนะนำทยอยสะสมกองทุนจีน แต่ไม่ควรมีสัดส่วนมากกว่า 20%
Market Update
เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 25 ตลาดหุ้นจีนขยับขึ้นรับข่าว 2 ประเด็นใหญ่ คือ
- การที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย Reverse Repo อายุ 7 วัน เหลือ 1.4% จาก 1.5% และลดอัตราส่วนสำรองของธนาคาร (RRR) ลง 0.5% เพื่อเพิ่มสภาพคล่องกว่า 1 ล้านล้านหยวน เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
- สหรัฐฯ และจีนประกาศนัดเจรจาการค้ารอบใหม่ที่สวิตเซอร์แลนด์ในสุดสัปดาห์นี้ โดยมีเป้าหมายลดระดับความตึงเครียดจากสงครามภาษี
โดยนโยบายการเงินของจีนประกาศโดยผู้ว่าการ PBOC พร้อมเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากสำนักงานกำกับดูแลการเงินและคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์จีน โดยย้ำว่ามาตรการครั้งนี้ไม่ใช่แค่กระตุ้นสั้นๆ แต่เป็นการวางโครงสร้างรองรับความผันผวนในระยะยาว ผ่านการสนับสนุนภาคเทคโนโลยี ผู้บริโภค และผู้สูงอายุโดยเฉพาะ
ในขณะเดียวกัน ตลาดยังจับตาแนวโน้มจากฝั่งสหรัฐฯ โดย รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ และผู้แทนการค้า เจมิสัน เกรียร์ เตรียมพบกับรองนายกรัฐมนตรีจีน เหอ ลี่เฟิง เพื่อเริ่มต้นกระบวนการเจรจา โดยเบสเซนต์ชี้ว่าภาษีที่เก็บในปัจจุบัน “ไม่ยั่งยืน และใกล้เคียงกับการคว่ำบาตรทางการค้า”
Related Indices & Funds (ข้อมูลวันที่ 6 พฤษภาคม 2025)
- CSI 300: 3,825.94 +0.46%
- Hang Seng: 22,883 +0.94%
Market Outlook
มาตรการผ่อนคลายของจีนในครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจในการประคองเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาวะส่งออกชะลอและสงครามการค้ากับสหรัฐฯ การลดดอกเบี้ยและอัดฉีดสภาพคล่องไม่เพียงแค่ช่วยพยุงกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานสนับสนุนกลุ่มเทคโนโลยี การบริโภคภายใน และภาคผู้สูงอายุ เพื่อปรับทิศทางเศรษฐกิจจีนให้พึ่งพาตนเองมากขึ้น
ขณะเดียวกัน การเจรจาการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในสุดสัปดาห์นี้ แม้มีเป้าหมายเพียง “ลดความตึงเครียด” แต่ก็ช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนให้ดีขึ้นในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนจากนโยบายของสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
K WEALTH มองว่า ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนในระยะสั้นอาจยังมีความผันผวนตามข่าวสารระหว่างประเทศ แต่ในระยะกลางถึงยาว ทิศทางจะขึ้นอยู่กับความต่อเนื่องของมาตรการกระตุ้นภายในประเทศ และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนภายใต้โครงสร้างที่เปลี่ยนไป
คำแนะนำการลงทุน
- สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นจีน
- หากมีสัดส่วนมากกว่า 20% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS
- หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% แนะนำ “ทยอยสะสม”
- สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นอินเดีย
- สามารถทยอยเข้าลงทุนในกองทุนจีนได้
- เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WEALTHPLUS เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
- แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
- สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-CHINA-A, K-CHX ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง100%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง มากกว่า 90%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- K-CHINA-A, K-CHX: ป้องกันความเสี่ยงบางส่วน
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS: T+1
- K-FIXEDPLUS-A: T+2
- K-CHX: T+3
- K-CHINA-A: T+4
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6