มาตรการภาษีศุลกากรรอบใหม่ปี 2025 พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ตลาดการเงิน และกลยุทธ์การลงทุนรับมือสงครามการค้า

Tariff รอบนี้ ใครได้ ใครเสีย

มาตรการภาษีศุลกากรรอบใหม่ปี 2025 พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ตลาดการเงิน และกลยุทธ์การลงทุนรับมือสงครามการค้า

กดฟัง
หยุด
  • มาตรการภาษีศุลกากรรอบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในปี 2025 ส่งผลให้แนวโน้มของเศรษฐกิจโลกมีความเปราะบางมากขึ้น และส่งผลให้สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศมีความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง แม้จะมีข้อตกลงบางส่วนระหว่างบางประเทศ เช่น สหรัฐฯ กับสหราชอาณาจักร แต่ความเสี่ยงต่อการค้าโลกในภาพรวมยังคงอยู่ โดยมีทั้งกลุ่มที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์อย่างชัดเจน นักลงทุนจึงควรติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด และเน้นการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน

ภาพรวมมาตรการภาษีศุลกากร

มาตรการภาษีศุลกากรหรือ "Tariff" ไม่ใช่เรื่องใหม่ในเวทีเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะหลังปี 2018 ที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เปิดฉากทำ “สงครามการค้า” กับจีน ซึ่งนำไปสู่การตอบโต้ทางภาษีระหว่างประเทศอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานระดับโลกสั่นคลอน


แม้จะมีการคลี่คลายนโยบายภาษีบางส่วนในช่วงปี 2021–2023 ภายใต้รัฐบาลใหม่ที่นำโดย นายโจ ไบเดน การกลับมารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์จากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของสหรัฐฯ ส่งผลให้แนวทางการค้าที่เข้มงวดกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะกับประเทศคู่แข่งทางยุทธศาสตร์


วัตถุประสงค์หลักของการเก็บภาษี:

  • ปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ: ภาษีศุลกากรถูกนำมาใช้เพื่อสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อผู้ผลิตในประเทศ โดยการเพิ่มต้นทุนของสินค้านำเข้าผ่านการจัดเก็บภาษี ทำให้สินค้าจากต่างประเทศมีราคาสูงขึ้น ส่งผลให้สินค้าภายในประเทศสามารถแข่งขันได้ในด้านราคาและมีโอกาสขยายตลาดมากขึ้น
  • การเพิ่มรายได้ให้แก่ภาครัฐ: ภาษีศุลกากรเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐบาล โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่งบประมาณของประเทศเผชิญกับภาวะขาดดุล การเก็บภาษีจากการนำเข้าสินค้าสามารถช่วยลดความเสี่ยงทางการคลัง เพิ่มงบประมาณในการลงทุนภาครัฐ และสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
  • การใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศ: ภาษีศุลกากรยังสามารถถูกนำมาใช้ในบริบทของการเจรจาทางการค้าและการเมืองระหว่างประเทศ โดยการปรับเพิ่มหรือลดอัตราภาษีต่อสินค้าจากประเทศใดประเทศหนึ่ง สามารถเป็นเครื่องมือในการกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือยอมรับข้อเสนอในกรอบการเจรจา ตัวอย่างเช่น การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้า เพื่อเรียกร้องให้ประเทศนั้นยกเลิกการอุดหนุนสินค้า หรือลดอุปสรรคทางการค้ากับประเทศตนเอง

ความเคลื่อนไหวล่าสุด: ณ วันที่ 9 พฤษภาคม 2025 นโยบายภาษีศุลกากร (Tariff) ล่าสุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและการค้าระหว่างประเทศ ดังนี้


  • ภาษีนำเข้าทั่วไป: 10% สำหรับทุกประเทศ
  • เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2025 สหรัฐฯ ได้เริ่มบังคับใช้ภาษีนำเข้า 10% สำหรับสินค้าทุกประเภทจากทุกประเทศ โดยอ้างอิงจากอำนาจตามกฎหมาย IEEPA เพื่อปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจและลดการขาดดุลการค้า


  • จีน
  • สหรัฐฯ ได้เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 145% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าสหรัฐฯ กำลังพิจารณาลดภาษีสินค้าจากจีนลงเหลือระหว่าง 50% ถึง 54% เพื่อเป็นสัญญาณบวกก่อนการเจรจาการค้าในสวิตเซอร์แลนด์


  • สหราชอาณาจักร
  • เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2025 สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรได้ประกาศข้อตกลงการค้าใหม่ ซึ่งรวมถึง

    • ลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหราชอาณาจักรจาก 25% เหลือ 10% สำหรับจำนวน 100,000 คันแรก
    • ยกเลิกภาษีศุลกากรสำหรับเหล็กและอลูมิเนียมจากสหราชอาณาจักร
    • สหราชอาณาจักรตกลงเปิดตลาดให้กับสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เช่น เนื้อวัวและเอทานอล

ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจจากมาตรการภาษีศุลกากร

มาตรการเก็บภาษีศุลกากร โดยเฉพาะเมื่อถูกนำมาใช้ในระดับที่เข้มข้นและครอบคลุมสินค้าในหลายกลุ่ม อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในหลายมิติ ทั้งในระยะสั้นและระยะกลางถึงยาว ดังนี้


ระยะสั้น:
  • ต้นทุนสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น : ทันทีที่มีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้า ราคาสินค้านำเข้าจะปรับสูงขึ้นตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อราคาขายในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าจำเป็นที่มีการนำเข้าจำนวนมาก เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ และวัตถุดิบสำหรับภาคการผลิต ทำให้ต้นทุนของผู้ผลิตและผู้บริโภคสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
  • แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ : เมื่อราคาสินค้าหลายชนิดเพิ่มสูงขึ้น ผู้บริโภคต้องจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อของในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ระดับราคาสินค้าทั่วไปในระบบเศรษฐกิจปรับสูงขึ้น หรือที่เรียกว่า "เงินเฟ้อ" ซึ่งอาจกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนและสร้างความกังวลในระดับนโยบาย
  • การบริโภคชะลอตัวลง: เมื่อราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้น บวกกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่มากขึ้นจากสงครามการค้า ส่งผลให้ผู้บริโภคลดความมั่นใจในการใช้จ่าย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าที่ไม่จำเป็น ซึ่งอาจฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงสั้น

ระยะกลางถึงยาว:
  • การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน : เมื่อสินค้านำเข้าจากบางประเทศต้องเผชิญกับภาษีในระดับสูง บริษัทต่าง ๆ โดยเฉพาะในภาคการผลิต จะเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ในการจัดหาวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากประเทศอื่นที่ไม่ถูกเก็บภาษี หรือได้รับข้อได้เปรียบทางการค้า เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนที่เพิ่มขึ้น การปรับเปลี่ยนเหล่านี้อาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกต้องถูกจัดระเบียบใหม่ และทำให้เกิดความล่าช้าหรือขาดแคลนในช่วงเปลี่ยนผ่าน
  • การย้ายฐานการผลิต : ในระยะยาว บริษัทข้ามชาติหลายแห่งอาจตัดสินใจย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาษี เช่น จีน ไปยังประเทศอื่นที่มีต้นทุนที่แข่งขันได้มากกว่า เช่น เวียดนาม อินเดีย เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก การย้ายฐานการผลิตนี้ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอุตสาหกรรมในประเทศต้นทางเท่านั้น แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศที่รับการลงทุนด้วย
  • การตอบโต้ทางการค้า : เมื่อมีการใช้มาตรการภาษีศุลกากรที่เข้มงวดขึ้น อาจมีการตอบโต้กลับด้วยมาตรการในลักษณะเดียวกัน ซึ่งอาจนำไปสู่ "สงครามการค้า" (Trade War) ที่ขยายวงกว้างขึ้น ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน กระทบต่อการส่งออก การผลิต และเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง

ผลกระทบต่อตลาดการเงิน

ตลาดหุ้น (Stock Market)
  • เกิด Sector Rotation : นักลงทุนมักปรับพอร์ตลงทุนโดยขายหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น กลุ่มส่งออกและเทคโนโลยี ซึ่งพึ่งพาตลาดต่างประเทศสูง และย้ายเงินลงทุนไปยังกลุ่มที่มีแนวโน้มได้รับประโยชน์หรือมีภูมิคุ้มกันจากภาษี เช่น สาธารณูปโภค หรืออุตสาหกรรมภายในประเทศ
  • ความผันผวนของตลาดเพิ่มขึ้น : ความไม่แน่นอนจากการประกาศมาตรการภาษีใหม่หรือข่าวการเจรจาทางการค้าทำให้ตลาดหุ้นเกิดความผันผวนสูง นักลงทุนตอบสนองต่อข่าวเชิงลบหรือบวกอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจกระตุ้นการเทขายหรือการเข้าซื้อในระยะสั้นตามอารมณ์ตลาด

ตลาดพันธบัตร (Bond Market)
  • ความเสี่ยงเงินเฟ้อส่งผลให้อัตราผลตอบแทน (Yield) เพิ่มขึ้น
  • ราคาสินค้าที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้าส่งผลให้ความเสี่ยงเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น นักลงทุนจึงเรียกร้องผลตอบแทนที่สูงขึ้นในการถือครองพันธบัตร โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว

  • ลดความน่าสนใจของพันธบัตรระยะยาว
  • เมื่อคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต นักลงทุนบางส่วนอาจลดการถือครองพันธบัตรระยะยาว และหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจได้มากกว่า



ตลาดเงิน (Currency Market)
  • สกุลเงินของประเทศที่ถูกเก็บภาษีมีแนวโน้มอ่อนค่า
  • การเก็บภาษีส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศนั้น ๆ ในตลาดโลก นักลงทุนอาจเทขายเงินสกุลของประเทศที่ได้รับผลกระทบ ส่งผลให้ค่าเงินอ่อนตัวลง

  • เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าในช่วงที่มีความไม่แน่นอน
  • ในช่วงที่เกิดความไม่แน่นอน นักลงทุนมักมองหา "สินทรัพย์ปลอดภัย" (Safe Haven) เช่น เงินดอลลาร์ ส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้าตลาดสหรัฐฯ และทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น

  • อย่างไรก็ตาม เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลงในบางช่วง
  • แม้เงินดอลลาร์จะถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในภาวะวิกฤต แต่ก็สามารถอ่อนค่าลงได้ในบางสถานการณ์ เช่น

    • การคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะลดแรงจูงใจในการถือครองสินทรัพย์สกุลดอลลาร์
    • การขาดดุลการคลังสหรัฐฯ ที่เรื้อรัง ทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพการคลังระยะยาว
    • การผ่อนคลายนโยบายการเงิน (Quantitative Easing) หรือการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ ซึ่งเพิ่มปริมาณเงินดอลลาร์ในตลาดและกดดันให้ค่าเงินอ่อนตัว
    • การฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศอื่น เช่น ยุโรปหรือจีน ทำให้กระแสเงินทุนไหลกลับไปยังตลาดเหล่านั้นแทน

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities)

  • ราคาสินค้าเกษตรและพลังงานผันผวน
  • ความไม่แน่นอนด้านอุปสงค์และอุปทานจากมาตรการภาษี รวมถึงการตอบโต้ทางการค้า อาจทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวผันผวน โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรและพลังงาน

  • วัตถุดิบที่ถูกเก็บภาษีมีแนวโน้มราคาสูงขึ้น
  • เมื่อวัตถุดิบหรือสินค้าอุตสาหกรรมถูกจัดเก็บภาษี ราคานำเข้าจะเพิ่มขึ้นตามต้นทุนภาษี ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาขายต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทาน และอาจกระทบต่อต้นทุนของผู้ผลิตปลายน้ำในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

คำแนะนำการลงทุนภายใต้ภาวะสงครามการค้า

  • กระจายการลงทุนในหลายภูมิภาค
  • เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ นักลงทุนควรกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังหลายประเทศหรือภูมิภาค โดยไม่กระจุกตัวอยู่ในประเทศที่มีความขัดแย้งทางการค้าโดยตรง การลงทุนในตลาดเกิดใหม่ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง หรือในกลุ่มประเทศที่มีนโยบายสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ อาจช่วยสร้างสมดุลให้กับพอร์ตโดยรวม


  • ให้ความสำคัญกับหุ้นที่เน้นการบริโภคภายในประเทศ (Domestic-Oriented Stocks)
  • หุ้นในกลุ่มธุรกิจที่เน้นตลาดภายในประเทศ เช่น สาธารณูปโภค ค้าปลีก หรืออุตสาหกรรมที่สามารถทดแทนสินค้านำเข้าได้ มีแนวโน้มได้รับผลกระทบน้อยกว่าจากความผันผวนของการค้าโลก และอาจได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจากนโยบายสนับสนุนภาคการผลิตในประเทศ


  • เพิ่มน้ำหนักในตราสารหนี้ระยะสั้น
  • ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มผันผวนจากนโยบายการเงินที่ปรับเปลี่ยนบ่อย นักลงทุนควรพิจารณาลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเพื่อรักษาความยืดหยุ่นของพอร์ต ลดความเสี่ยงจากการขาดทุนทางบัญชีเมื่อดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น


  • ติดตามข่าวสารการเจรจาการค้าอย่างใกล้ชิด
  • ความคืบหน้าในการเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศหลัก เช่น สหรัฐฯ จีน หรือสหภาพยุโรป อาจส่งผลต่อทิศทางของตลาดในระยะสั้นอย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนควรใช้ข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ในการพิจารณาปรับพอร์ต เช่น การเพิ่มหรือลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อภาษีศุลกากร