ช่วงที่ความตึงเครียดจากสงครามการค้ากลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งในปี 2025 นักลงทุนทั่วโลกเริ่มมองหา "ทางเลือกใหม่" เพื่อกระจายความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ หนึ่งในจุดหมายที่ได้รับความสนใจมากขึ้นคือ “ตลาดหุ้นอินเดีย” ซึ่งมีศักยภาพเติบโตสูงและม

สงครามการค้าหนัก ตลาดเลยเทหน้าตักไปที่อินเดีย

ช่วงที่ความตึงเครียดจากสงครามการค้ากลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งในปี 2025 นักลงทุนทั่วโลกเริ่มมองหา "ทางเลือกใหม่" เพื่อกระจายความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ หนึ่งในจุดหมายที่ได้รับความสนใจมากขึ้นคือ “ตลาดหุ้นอินเดีย” ซึ่งมีศักยภาพเติบโตสูงและม

กดฟัง
หยุด
  • ช่วงที่ความตึงเครียดจากสงครามการค้ากลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งในปี 2025 นักลงทุนทั่วโลกเริ่มมองหา "ทางเลือกใหม่" เพื่อกระจายความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ หนึ่งในจุดหมายที่ได้รับความสนใจมากขึ้นคือ “ตลาดหุ้นอินเดีย” ซึ่งมีศักยภาพเติบโตสูงและมีความยืดหยุ่นต่อแรงกระแทกจากภายนอก

“อินเดีย” ประเทศที่กำลังเฉิดฉายท่ามกลางโลกที่สั่นคลอนจากสงครามการค้า

ในช่วงเดือนเมษายน 2025 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญความผันผวนอย่างรุนแรง สาเหตุหลักมาจากประเด็นสงครามการค้าที่ยกระดับความตึงเครียดจนถึงจุดสูงสุด โดยสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 145% ขณะที่จีนก็ตอบโต้ด้วยภาษีที่ 125% ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงแรงในช่วงต้นเดือน และนำไปสู่ความกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ


แม้ต่อมาจะมีการพักรบชั่วคราว หลังประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศระงับการขึ้นภาษีเป็นเวลา 90 วัน แต่ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ ผลจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ IMF ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกปีนี้ลงเหลือเพียง 2.8% จากเดิม 3.3% ที่ประเมินไว้เมื่อต้นปี


ท่ามกลางพายุเศรษฐกิจโลกที่โหมกระหน่ำ กลับมี "แสงสว่างแห่งโอกาส" ปรากฎอยู่ประเทศหนึ่ง นั่นคือ อินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความสามารถในการหลีกเลี่ยงจากปัจจัยลบต่าง ๆ ได้อย่างโดด ซึ่ง K WEALTH จะพามาเจาะลึกจุดเด่นที่น่าสนใจ และทางเลือกการลงทุนในอินเดียผ่านบทความ


สรุป จุดแข็งของอินเดียที่ดึงดูดนักลงทุน

เศรษฐกิจอินเดียขับเคลื่อนจากภายใน: ประมาณ 78-80% ของ GDP อินเดียมาจากการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ และรายได้ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอินเดียที่มาจากสหรัฐฯ คิดเป็นเพียง 8% เท่านั้น ทำให้มีความยืดหยุ่นต่อแรงกระแทกจากภายนอก อย่างสงครามการค้า ขณะที่ IMF คาดการณ์การเติบโต GDP ของอินเดียที่ 6.2% ในปี 2025 และ คาดว่าอินเดียจะขึ้นแท่นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลกแซงเยอรมนีและญี่ปุ่นได้ในปี 2028


แรงงานคุณภาพโดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี: ประชากรอินเดียยังเป็นวัยหนุ่มสาว อายุเฉลี่ย 28.4 ปี และเป็นกลุ่ม digital native โดยอินเดียมีผู้ใช้อินเทอร์เนตกว่า 880 ล้านคน สูงสุดเป็นอันดับสองของโลก และยังมี Startup Unicorn กว่า 100 รายในอินเดีย สะท้อนการมีทักษะด้านเทคโนโลยีสูง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม IT ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่เติบโตเร็วและได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากจีน


นโยบายสนับสนุนการลงทุน: อินเดียได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ครอบคลุมหลายด้าน เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ทั้งนโยบายอุตสาหกรรมและการผลิต เช่นการส่งเสริมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เป้าหมายลงทุนกว่า 1.5 แสนล้านรูปี (ประมาณ 20 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) มีการปรับปรุงระบบภาษี และ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น


กองทุน K-INDIA : โอกาสในการเข้าถึงหุ้นอินเดียคุณภาพ ผ่านผู้จัดการกองทุนระดับโลก

ในภาวะที่ข้อมูลบริษัทในอินเดียอาจเข้าถึงยาก และความผันผวนของตลาดเกิดใหม่ยังคงมีอยู่สูง การเลือกลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” ที่มีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพที่เข้าใจตลาดอินเดียอย่างแท้จริงช่วยลงทุนจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม


กองทุน K-INDIA เน้นลงทุนในหุ้นอินเดีย ผ่านกองทุนหลักคือ Goldman Sachs India Equity Portfolio Class I Shares (Acc.) กองทุนป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 75% ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ โดยหลักการลงทุนและจุดเด่นของกองทุนหลักของ K-INDIA มีดังนี้

  • กองทุนหลักเชื่อว่าการสร้างผลตอบแทนในระยะยาวมาจากการคัดเลือกหุ้นและเข้าซื้อหุ้นที่ราคาตลาดในปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น
  • บริหารโดยทีมผู้เชี่ยวชาญในอินเดีย ที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี ทำให้เข้าใจของตลาด เข้าใจพื้นฐานและข้อมูลเชิงลึกจากการเข้าพบผู้บริหารประมาณ 1,000 บริษัท/ปี
  • กองทุนเน้นสร้าง Alpha อย่างสม่ำเสมอ ผ่านการเลือกหุ้นเชิงลึก (Bottom-up) พอร์ตมีความแตกต่างชัดเจนจากตลาดทั้งการลงทุนใน Small & Mid Cap ปัจจุบันกองทุนถือหุ้น 112 ตัว กระจายไปใน 13 อุตสาหกรรม การเลือกหุ้นเข้าพอร์ตที่ดี โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Small Cap ทำให้กองทุนหลักสามารถทำ Annualized return ได้ดีกว่า benchmark ในระยะยาว ทั้งช่วง 1 ปี, 3 ปี, 5 ปี และ 10 ปี




อินเดียเป็นอีกหนึ่งในโอกาสเพื่อสร้าง “เสถียรภาพและการเติบโต” ท่ามกลางความไม่แน่นอน

ในปีที่เศรษฐกิจโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน อินเดียกลับกลายเป็นจุดหมายของนักลงทุนที่มองหา แม้ว่าความไม่สงบระหว่างอินเดียและปากีสถานมีโอกาสสร้างความผันผวนต่อตลาดหุ้นอินเดียในระยะสั้น แต่คาดว่าสถานการณ์จะอยู่ในวงจำกัด จึงมีโอกาสต่ำมากที่สถานการณ์ความไม่สงบนี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอินเดียในระยะกลางถึงยาว


การลงทุนผ่านกองทุน K-INDIA จึงเป็นทางเลือกที่ทั้งเข้าถึงง่ายและน่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเปิดรับโอกาสใหม่ไปกับหนึ่งในเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก


K-INDIA มีให้เลือกลงทุนทั้ง Share Class แบบปันผลและไม่ปันผล รวมถึงกองทุนลดหย่อนภาษี RMF ด้วยความโดดเด่นในระยะยาวของกองทุนที่ได้กล่าวไป จึงแนะนำทยอยสะสมไม่เกิน 20% ของพอร์ตการลงทุน เพิ่มเติมจาก Core Portfolio ใน K-Wealth PLUS Series ได้แก่ K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP หรือ K-WPULTIMATE โดยเลือกเพียง 1 กองตามความเสี่ยงและความผันผวนที่ลูกค้ารับได้




คำเตือน

โปรดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากบลจ. กสิกรไทย (KASSET)

ผลการดำเนินงานในอดีต/ ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

ผู้เขียน

KWEALTHพิมลพรรณ จุฬพุฒิพงษ์ CISA , AFPT™

Back to top