-
บริษัท Moody’s ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยลงสู่มุมมองเชิงลบ โดยให้เหตุผลการเปลี่ยนมุมมองครั้งนี้ว่ามาจากความเสี่ยงที่ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและการคลังของประเทศไทยจะอ่อนแอลง สร้างคำถามว่าอนาคตเศรษฐกิจของประเทศไทยจะไปในทิศทางไหนต่อ?
-
จากภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณค่อนข้างชัดว่ามีแต่ทรงตัวหรือชะลอตัว โอกาสจะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นไปได้น้อยมาก แต่ยังมีโอกาสให้กลับตัวได้อยู่ เพียงแต่ต้องเริ่มปรับทิศทางโครงสร้างเศรษฐกิจและใช้นโยบายกระตุ้นทั้งการเงินและการคลังให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
Know the Markets จับทิศเศรษฐกิจโลก ส่องทุกตลาดเงินตลาดทุน ครอบคลุมทุกประเภทสินทรัพย์
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด หรือ K Asset ร่วมกับ J.P. Morgan Asset Management นำเสนอทั้งผลิตภัณฑ์กองทุนรวมและมุมมองการลงทุนเชิงลึกให้นักลงทุนไทย โดยมีการออกเอกสารมุมมองการลงทุน Know the Markets ซึ่งมีข้อมูลเศรษฐกิจไทยที่น่าสนใจมาให้ติดตามกัน
บทความนี้จึงขอนำข้อมูลเหล่านั้นจากเอกสารมุมมองการลงทุน Know the Markets มาสรุปและติดตามทิศทางเศรษฐกิจไทย
Moody’s ลดแนวโน้มเครดิต เศรษฐกิจไทยน่ากังวล?
บริษัทจัดอันดับเครดิต Moody’s ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยลงสู่มุมมองเชิงลบ แต่ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยไว้ที่ Baa1 โดยให้เหตุผลการเปลี่ยนมุมมองครั้งนี้ว่ามาจากความเสี่ยงที่ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและการคลังของประเทศไทยจะอ่อนแอลง ดังนั้นจึงสร้างคำถามต่ออนาคตเศรษฐกิจประเทศไทยว่าจะไปในทิศทางไหน โดยเรามีสรุปภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่น่าสนใจไว้ 3 ประเด็น ดังนี้
- ส่วนประกอบ GDP และภาคอุตสาหกรรมชี้ชัดว่าการผลิตยังหดตัว
จากส่วนประกอบ GDP พบว่าในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2024 แม้ตัวเลข GDP จะเพิ่มขึ้นแต่มาจากแรงหนุนของ Government Spending ส่วนหนึ่งก็คือนโยบายแจกเงิน 10,000 บาท ส่วนที่เหลือเป็นการเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งอย่างที่ทราบกันว่าอาจมีข้อจำกัดในระยะยาว เนื่องจากหนี้สาธารณะต่อ GDP ใกล้แตะระดับเพดานที่ตั้งไว้ ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนอ่อนแรงลงต่อเนื่อง
ส่วนสินค้าคงคลังหดตัว (ติดลบ) มาแล้ว 3 เดือนติดต่อกัน สะท้อนชัดว่าธุรกิจระบายสินค้าในคลังและชะลอการผลิตใหม่มาทดแทน โดยอาจเกิดจากมุมมองการค้าในอนาคตที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น
และเมื่อประกอบกับดัชนี Manufacturing Production ซึ่งพลิกจากขยายตัวมาเป็นหดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 เช่นกัน จึงเป็นสิ่งยืนยันว่าภาคการผลิตที่เป็นเครื่องยนต์หลักของประเทศเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างชัดเจน
- ท่องเที่ยวยังทรงตัว ส่งออกโตนำเข้าชะลอลง
จำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าประเทศไทย (กราฟซ้าย) เพิ่มขึ้นแรงในระหว่างปี 2022-2023 ก่อนจะทรงตัวอย่างชัดเจนในปี 2024 เป็นต้นมา ซึ่งมีความน่ากังวลในจุดที่จำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้า ยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิด COVID-19 เล็กน้อย และนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เป็นกำลังหลักของการท่องเที่ยวไทยลดลงชัดเจนตั้งแต่เข้าปี 2025 ดังนั้นภาคท่องเที่ยวที่เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยก็มีสัญญาณชะลอตัวหรือมีแนวโน้มไม่เติบโตไปมากกว่านี้ในช่วงระยะสั้นเช่นกัน
ขณะที่ภาคส่งออกนำเข้า (กราฟขวา) กลับสะท้อนสัญญาณที่ดีขึ้นในช่วงต้นปี 2025 ซึ่งแม้เห็นชัดว่าการส่งออกเดินหน้าเติบโตต่อเนื่อง แต่สัญญาณนี้อาจไม่ยั่งยืน เนื่องจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นผลจากการเร่งส่งออก (Front-loading) ก่อนที่จะถึงกำหนดการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ
จากข้อมูลนี้ชี้ว่าปัจจัยหนุนและเม็ดเงินจากต่างชาติที่เข้าประเทศผ่านช่องทางการท่องเที่ยวและส่งออก ยังทรงตัวและมีโอกาสชะลอตัวลงในช่วงเวลาต่อจากนี้
- เงินเฟ้อไทยต่ำ เปิดช่อง ธปท. ลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจได้
ดัชนี CPI เดือน มี.ค. (กราฟซ้าย เส้นสีเขียว) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.84% (YoY) และเดือน เม.ย. พลิกมาหดตัว 0.22% (YoY) ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของ ธปท. ที่ 1-3% และเมื่อประกอบกับสภาพเศรษฐกิจซึ่งมีทิศทางชะลอตัว จึงเปิดช่องให้ ธปท. สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อีกเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และด้วยตัวเลขหนี้สาธารณะที่ใกล้แตะระดับเพดานที่กำหนดไว้ การลดอัตราดอกเบี้ยอาจเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจเดียวที่ใช้ได้อย่างเต็มที่สำหรับช่วงที่เหลือของปี
สรุป: เศรษฐกิจไทยเริ่มน่ากังวล แนะนำลงทุนแบบ selective หาบริษัทที่แกร่งและรับประโยชน์จากการกระตุ้น
จากภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณค่อนข้างชัดว่ามีแต่ทรงตัวหรือชะลอตัว โอกาสจะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นไปได้น้อยมาก แต่ยังมีโอกาสให้กลับตัวได้อยู่ เพียงต้องเริ่มปรับทิศทางโครงสร้างเศรษฐกิจและใช้นโยบายกระตุ้นทั้งการเงินและการคลังให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
และสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอาจต้องมองหาหุ้นกลุ่มที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจได้ มีกระแสเงินสดมั่นคง หรือรับผลดีจากมาตรการกระตุ้น
สำหรับมุมมองการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับตัวเลขเศรษฐกิจและการลงทุนหุ้นไทย ซึ่งจัดทำโดย K WEALTH สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก “บทความที่เกี่ยวข้อง”