GDP ไทย ไตรมาส 1/2025 เติบโต +3.1% ดีกว่าที่ตลาดคาด หนุนจากการส่งออก

ประเด็นร้อน: GDP ไทยไตรมาส 1 ขยายตัวดีกว่าคาด จากการส่งออก

GDP ไทย ไตรมาส 1/2025 เติบโต +3.1% ดีกว่าที่ตลาดคาด หนุนจากการส่งออก

กดฟัง
หยุด
  • GDP ไทย ไตรมาส 1/2025 เติบโต +3.1% ดีกว่าที่ตลาดคาด โดยได้ปัจจัยหนุนจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวถึง +14.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • เศรษฐกิจไตรมาส 1 ที่ขยายตัวดี เป็นผลมาจากการเร่งส่งออก แต่อุปสงค์ในประเทศยังคงอ่อนแอ และคาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัว และยังมีความไม่แน่นอนจากการเจรจาการค้า จึงแนะนำให้พิจารณาชะลอการลงทุนในกองทุนหุ้นไทย

Market Update

GDP ไทย ไตรมาส 1/2025 เติบโต +3.1% ดีกว่าตลาดคาดที่ +2.9% แต่ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ +3.2% หากเทียบรายไตรมาส GDP ขยายตัว +0.7% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ดีกว่าตลาดคาดที่ +0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า


หลักๆ ได้ปัจจัยหนุนมาจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวถึง +14.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเร่งส่งออกก่อนภาษีสินค้านำเข้า และการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัว +26.3% แต่การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลงที่ +2.6% ส่วนการลงทุนภาคเอกชนยังคงหดตัว -0.9%


ตั้งแต่ต้นปีเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างไม่ทั่วถึง มีเพียงการส่งออกสินค้าและการลงทุนภาครัฐที่เป็นปัจจัยหนุน ด้านอุปสงค์ในประเทศยังคงอ่อนแอ ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวก็หดตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว


คาดเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1-2 ยังคงขยายตัวได้ในระดับราวๆ 2-3% แต่คาดว่าจะชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง และสภาพัฒน์ฯ คาด GDP ทั้งปีขยายตัวในกรอบ 1.3-2.3%


Related Indices & Funds

  • ค่าเงินบาทเช้านี้ทรงตัวที่ราว 33.2 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 19 พ.ค. 2568)

คำแนะนำการลงทุน


โอกาสทยอยสะสมกองทุนตราสารหนี้ แต่ระมัดระวังหุ้นไทย โดยเศรษฐกิจไตรมาส 1 ที่ขยายตัวดี เป็นผลมาจากการเร่งส่งออก แต่อุปสงค์ในประเทศยังคงอ่อนแอ และคาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัว และยังมีความไม่แน่นอนจากการเจรจาการค้า คาดว่ากนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง เพื่อพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลบวกต่อการลงทุนในตราสารหนี้


คำแนะนำกองทุนตราสารหนี้

  • K-SFPLUS พักเงินระยะสั้น 3-6 เดือน เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ผ่านการลงทุนในต่างประเทศ
  • K-FIXEDPLUS-A ลงทุนอย่างน้อย 1-1.5 ปี กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว ดูเรชั่น 2-4 ปี ที่ลงทุนทั้งในไทยและต่างประเทศ

คำแนะนำกองทุนหุ้นไทย

ยังไม่แนะนำลงทุนในหุ้นไทย เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจยังดูเปราะบาง และศักยภาพการเติบโตยังไม่น่าดึงดูดเท่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

  • สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนไทย
    • หากมีสัดส่วนมากกว่า 20% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS
    • หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% แนะนำถือเพื่อรอติดตามความคืบหน้าของสงครามการค้า
  • สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นไทย
    • แนะนำชะลอการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างกองทุนหุ้นไทย และติดตามสถานการณ์ความคืบหน้าของสงครามการค้าในช่วงเวลาต่อจากนี้อย่างใกล้ชิด
    • เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WealthPLUS Series เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
    • แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS-A เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
    • สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS

หมายเหตุ:
  • ระดับความเสี่ยงกองทุน
    • K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
    • K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
    • K-STAR-A, K-VALUE ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
  • นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
    • K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง 100% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
    • K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยงมากกว่า 90% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
    • K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
    • K-STAR-A, K-VALUE: ไม่มีการลงทุนในต่างประเทศ
  • ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
    • K-SFPLUS: T+1
    • K-FIXEDPLUS-A: T+2
    • K-STAR-A, K-VALUE: T+3
    • K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6


คำเตือน

“ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”

“ทำความเข้าเงื่อนไขการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีและผลกระทบหากทำผิดเงื่อนไขก่อนตัดสินใจลงทุน”

ผู้เขียน

K WEALTH

Back to top