-
ตลาดพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGBs) ส่งสัญญาณเตือนต่อธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ว่าการลดวงเงินซื้อพันธบัตรต้องทำอย่างรอบคอบที่สุด หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบหลายสิบปี
-
ความเคลื่อนไหวในตลาดพันธบัตรญี่ปุ่นสะท้อนแรงกดดันด้านต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลและภาคเอกชนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อเศรษฐกิจที่เพิ่งเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งในไตรมาสแรกของปีนี้ จึงแนะนำให้พิจารณาชะลอการลงทุนในกองทุนหุ้นญี่ปุ่น
Market Update
ตลาดพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGBs) กำลังส่งสัญญาณเตือนต่อธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ว่าการลดวงเงินซื้อพันธบัตรต้องทำอย่างรอบคอบที่สุด หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบหลายสิบปี และการประมูลพันธบัตรอายุ 20 ปีล่าสุดประสบความล้มเหลว หลังนักลงทุนจำนวนมากไม่เข้าร่วมประมูล โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ เช่น บริษัทประกันชีวิต ซึ่งต้องการรอดูท่าทีของ BOJ
สัญญาณนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ BOJ เริ่มการประชุมรับฟังความเห็นจากภาคเอกชน เพื่อประเมินแนวทางการปรับลดการซื้อพันธบัตรในระยะถัดไป ซึ่งตลาดจับตาอย่างใกล้ชิดก่อนจะถึงการประชุมคณะกรรมการ BOJ ครั้งถัดไปในวันที่ 17 มิ.ย. นี้ ขณะที่นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ เปรียบเทียบสถานะทางการคลังของญี่ปุ่นกับกรีซ ยิ่งตอกย้ำความเสี่ยง หากมีการดำเนินนโยบายผิดพลาด
Related Indices & Funds
- Nikkei 225 -0.10%
- TOPIX 0.19%
- Japan 20Y JGB Yield 2.565% (สูงสุดตั้งแต่ปี 2000)
- Japan 30Y JGB Yield 3.151% (เฉียดระดับสูงสุดประวัติการณ์)
(ข้อมูลวันที่ 20 พ.ค. 2568)
Market Outlook
K WEALTH มองว่า ความเคลื่อนไหวในตลาดพันธบัตรญี่ปุ่นล่าสุด สะท้อนแรงกดดันด้านต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลและภาคเอกชนที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อเศรษฐกิจที่เพิ่งเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งในไตรมาสแรกของปีนี้
เดือนมิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา BOJ ประกาศลดวงเงินซื้อพันธบัตรจาก 6 ล้านล้านเยนต่อเดือนให้เหลือประมาณ 3 ล้านล้านเยนต่อเดือน ภายในไตรมาสแรกของปี 2569 ซึ่งการปรับลดวงเงินนี้ทำให้ขาดเม็ดเงินในการพยุงไม่ให้ Yield ระยะยาวปรับเพิ่มขึ้น สร้างความกังวลต่อตลาดว่าท่าทีของ BOJ ต่อจากนี้ในการควบคุมอัตราดอกเบี้ยระยะยาวเพื่อไม่ให้กระทบต่อเสถียรภาพของตลาดพันธบัตรจะเป็นไปในทิศทางใด ทั้งนี้ ควรจับตามองผลการประชุม BOJ ในเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อประเมินท่าทีและนโยบายหลังตลาดตราสารหนี้ส่งสัญญาณเตือนแรง
คำแนะนำการลงทุน
- สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นญี่ปุ่น
- หากมีสัดส่วนมากกว่า 20% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS
- หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% แนะนำถือต่อ รอจังหวะลงทุน
- สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นญี่ปุ่น
- สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีสถานะในกองทุนหุ้นญี่ปุ่น แนะนำชะลอการลงทุน โดยติดตามท่าทีการดำเนินนโยบายการเงินของ BOJ
- เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WealthPLUS Series เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
- แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
- สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-JPX-A, K-JP-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง 100% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยงมากกว่า 90% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- K-JPX-A, K-JP-A: ป้องกันความเสี่ยงบางส่วน
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS: T+1
- K-FIXEDPLUS-A: T+2
- K-JPX-A: T+3
- K-JP-A: T+4
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6