ปี 2568 เป็นปีที่เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่กระทบการบริโภคภายในและการท่องเที่ยว รวมถึงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจากการประเมินของศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า GDP ไทยปีนี้จะขยายตัวลดลงจาก 2.4% มาอยู่ที่ 1.4% ขณะที่ตลาดการเงินทั่วโลกก็อยู่ในภาวะความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ทำให้นักลงทุนต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อให้สามารถรับมือกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้น
ปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยในปี 2568
เศรษฐกิจไทยในปีนี้เผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในเบื้องต้นคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท จากการหยุดชะงักหรือเลื่อนออกไปของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงกำลังซื้อที่อาจลดลงเพราะธุรกิจและครัวเรือนต้องโยกกระแสเงินสดหรือรายได้ไปใช้เพื่อการตรวจสอบความเสียหายและซ่อมแซมอาคาร
นอกจากนี้ นโยบายภาษีนำเข้าแบบ Reciprocal Tariffs ของประธานาธิบดีทรัมป์ในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่ไทยถูกเรียกเก็บในอัตราสูงถึง 37% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 10% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ อาหาร และเครื่องประดับที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง คาดว่าจะฉุดการส่งออกโดยรวมลดลงมาอยู่ที่ -0.5% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 2.5%
ตลาดการเงินโลกในภาวะไม่แน่นอน
ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญแรงกดดันจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ โดยเฉพาะ "Reciprocal Tariffs" และ "Auto Tariffs" ที่ออกโดยประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งผลให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนจากความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั้งในสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่าผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจจะเริ่มสะท้อนในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้
สภาวะความไม่แน่นอนดังกล่าวทำให้นักลงทุนหันมาให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น ทางเลือกหนึ่งคือการแบ่งเงินบางส่วนมาไว้ในสินทรัพย์ที่ให้ความมั่นคงและมีความเสี่ยงต่ำ เช่น ประกันสะสมทรัพย์ที่สามารถการันตีผลตอบแทนและสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้ในยามที่ตลาดมีความผันผวนสูงเช่นนี้
ประกันสะสมทรัพย์ช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินได้
ประกันสะสมทรัพย์เป็นทางเลือกที่มีจุดเด่นหลายประการซึ่งช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในยุคที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน ได้แก่
การรับประกันผลตอบแทนที่แน่นอน
เป็นจุดแข็งหลักของประกันสะสมทรัพย์ที่แตกต่างจากการลงทุนในตลาดทุนซึ่งมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา โดยบริษัทประกันจะการันตีอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ ทำให้ทราบเงินคืนที่จะได้รับล่วงหน้า ทำให้ผู้เอาประกันสามารถวางแผนการเงินระยะยาวได้อย่างมั่นใจ
ความคุ้มครองชีวิตควบคู่กับการออม
เป็นอีกหนึ่งข้อดีสำคัญที่ทำให้ประกันสะสมทรัพย์มีความคุ้มค่า เพราะนอกจากจะได้สะสมเงินแล้ว ยังได้รับความคุ้มครองชีวิตที่จะช่วยดูแลครอบครัวในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น ซึ่งถือเป็นการจัดการความเสี่ยงที่ครอบคลุมทั้งการสร้างทรัพย์สินและการป้องกันความเสี่ยง
การสร้างวินัยในการออม
เป็นจุดเด่นที่สำคัญของประกันสะสมทรัพย์ เพราะผู้เอาประกันจะต้องจ่ายเบี้ยประกันอย่างสม่ำเสมอตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งช่วยสร้างวินัยในการออมและป้องกันการใช้จ่ายเงินไปในเรื่องอื่นๆ ทำให้สามารถสะสมเงินได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
สิทธิประโยชน์ทางภาษี
เป็นข้อดีที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนสุทธิให้กับผู้เอาประกัน โดยเบี้ยประกันชีวิตสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาทต่อปี ซึ่งจะช่วยลดภาระภาษีและเพิ่มกำลังในการออมของผู้เอาประกัน
ทางเลือกประกันสะสมทรัพย์ที่น่าสนใจ
ธนาคารกสิกรไทยมีประกันสะสมทรัพย์หลายรูปแบบให้เลือกตามความต้องการและเป้าหมายของแต่ละคน
ประกันชีวิตออมสั้น คืนไว 11/3
- จ่ายเบี้ยสั้น คุ้มครองยาว โดยจ่ายเบี้ยเพียง 3 ปี แต่ได้ความคุ้มครองถึง 11 ปี
- การันตีเงินคืนทุกปี ปีละ 3% ของทุนประกันเริ่มต้น
- ไม่ต้องตรวจสุขภาพและตอบคำถามสุขภาพ
ประกันชีวิตเพื่อสะสมทรัพย์ 615 มีเงินปันผล
- การันตีเงินต้นไม่หาย พร้อมผลตอบแทน 5% ของทุนประกันเริ่มต้น ทุก 2 ปี รับประกันผลตอบแทนที่แน่นอน ไม่ต้องกังวลความผันผวนของตลาด
- เพิ่มโอกาสรับเงินปันผลเพิ่มจากการลงทุนทั่วโลกเมื่อครบสัญญา
- ไม่ต้องตรวจสุขภาพและตอบคำถามสุขภาพ
ประกันชีวิต 80/8 Big Bonus
- จ่ายเบี้ยสั้น คุ้มครองยาว โดยจ่ายเบี้ย 8 ปี แต่ได้ความคุ้มครองถึงอายุ 80 ปี
- รายได้สม่ำเสมอ รับเงินคืน 12% ของทุนประกันเริ่มต้นทุกปี ตั้งแต่ปีที่ 1 - ครบอายุ 79 ปี
- ผลตอบแทนสูง ครบสัญญารับเงินก้อน 800% ของทุนประกันเริ่มต้น
- ครอบคลุมทุกช่วงชีวิต มีทั้งเงินคืนและเงินก้อนสำหรับเกษียณ
การเลือกประกันชีวิตให้เหมาะกับเป้าหมายและความจำเป็น
ในยุคที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนและตลาดการเงินผันผวน การแบ่งเงินบางส่วนมาออมในประกันสะสมทรัพย์ถือเป็นกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงที่ดี เพราะสามารถการันตีผลตอบแทนที่แน่นอน ได้รับความคุ้มครองชีวิต สร้างวินัยในการออมไปพร้อมๆ กัน และยังช่วยประหยัดภาษี
การเลือกประกันสะสมทรัพย์ควรพิจารณาจากหลายปัจจัย ได้แก่ ระยะเวลาที่สามารถจ่ายเบี้ยประกันได้ ผลตอบแทนที่ต้องการ สภาพคล่อง และเป้าหมายการใช้เงินในอนาคต โดยผู้ที่ต้องการสะสมเงินระยะสั้นอาจเลือกประกันชีวิตออมสั้น คืนไว 11/3 ส่วนผู้ที่ต้องการความมั่นคงและผลตอบแทนระยะยาวอาจเลือกประกันชีวิตเพื่อสะสมทรัพย์ 615 มีเงินปันผล หรือประกันชีวิต 80/8 Big Bonus
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ควรศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจเงื่อนไขความคุ้มครองและข้อกำหนดต่างๆ รวมถึงปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการและสถานการณ์ทางการเงินของตนเอง เพราะประกันสะสมทรัพย์เป็นการออมระยะยาวที่ต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
.
.
.