ใครควรจะต้องใช้สิทธิ Thai ESGX ภายใน 30 มิ.ย. 68 นี้

3 เหตุผล ที่ต้องใช้สิทธิ Thai ESGX

ใครควรจะต้องใช้สิทธิ Thai ESGX ภายใน 30 มิ.ย. 68 นี้

กดฟัง
หยุด
  • 3 เหตุผลที่ควรลงทุนในกองทุน Thai ESGX คือ 1) ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเต็มที่ โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้สูงกว่า 125,000 บาทต่อเดือน 2) เหมาะกับคนที่ไม่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนทุกปี แต่ปี 2568 รายได้สูงเป็นพิเศษ และ 3) ช่วยให้ได้ทุนคืนผ่านสิทธิทางภาษีสำหรับคนที่ถือกองทุน LTF และขาดทุนอยู่
  • กองทุน Thai ESGX เน้นลงทุนในหุ้นปันผล แบ่งเป็น 2 กองทุน คือ K-HDThaiESGX (ลงทุนในหุ้น 100%) และ K-70ThaiESGX (ลงทุนในหุ้นไม่เกิน 70%)
  • หากตัดสินใจใช้สิทธิลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน Thai ESGX หากเป็นวงเงิน LTF เดิม จะต้องโอน LTF ทั้งหมดมายัง Thai ESGX แต่ถ้าเป็นวงเงินใหม่ จะต้องลงทุนภายใน 30 มิ.ย. 68

เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 68 ที่ผ่านมา ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติให้จัดตั้งกองทุน Thai ESGX เพื่อมาตรการเพิ่มความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย ซึ่งในฐานะผู้ลงทุนจะต้องตัดสินใจลงทุนใหม่หรือย้ายกองทุนมายังกองทุน Thai ESGX ภายในเดือน มิ.ย. 68 นี้ แล้วในฐานะนักลงทุนอาจจะลังเลว่า จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีกับกองทุน Thai ESGX ดีหรือไม่ บทความนี้จะสรุป 3 เหตุผลที่คุณไม่ควรพลาดลงทุนในกองทุน Thai ESGX


เหตุผลแรก คือ ต้องการลดหย่อนภาษีเต็มสิทธิ

ในแต่ละปีภาษี จะมีเงินค่าลดหย่อนจากการออมและการลงทุน อยู่ 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ


  1. กลุ่มเงินออมเพื่อการเกษียณ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund: PVD), กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund: RMF) และ (เบี้ย)ประกันบำนาญ รวมกันไม่เกิน 500,000 บาท
  2. กลุ่มส่งเสริมการออม เช่น กองทุนรวมหุ้นเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ใช้สิทธิได้ ไม่เกิน 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 300,000 บาท
  3. กลุ่มส่งเสริมการออมพิเศษ (ตามช่วงเวลา) เช่น กองทุนรวมหุ้นเพื่อความยั่งยืนพิเศษ (Thai ESGX) ใช้สิทธิได้อีก ไม่เกิน 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 300,000 บาท (เพิ่มสิทธิลดหย่อนในปี 2568)

แล้วจะต้องมีรายได้ประมาณเท่าไหร่ถึงจะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้แบบเต็มสิทธิ สามารถคำนวณได้โดยนำค่าลดหย่อนการออมทั้งหมด ค่าใช้จ่ายจากรายได้เงินเดือน ค่าลดหย่อนส่วนตัว และค่าใช้จ่ายส่วนตัวมารวมกัน รายละเอียดสรุปได้ดังนี้

  1. ค่าลดหย่อนการออม = 500,000 + 300,000 + 300,000 = 1,100,000 บาท
  2. ค่าใช้จ่ายจากรายได้เงินเดือน = 100,000 บาท
  3. ค่าลดหย่อนส่วนตัว = 60,000 บาท และ
  4. ค่าใช้จ่ายส่วนตัว = 240,000 บาท

รวมกันเป็นเงินทั้งสิ้น 1,500,000 บาทต่อปี หรือ 125,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป จึงจะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเต็มสิทธิได้


สรุป คนที่มีเงินเดือน 125,000 บาทขึ้นไป และต้องการลดหย่อนภาษีเต็มสิทธิ จำเป็นต้องลงทุนในกองทุน Thai ESGX ด้วยวงเงินใหม่


เหตุผลที่ 2 คือ ไม่อยากใช้สิทธิลดหย่อนภาษีต่อเนื่อง

สำหรับผู้ที่มีรายได้อยู่ในเกณฑ์เสียภาษี แต่มีรายได้ไม่แน่นอน ทำให้ความต้องการลดหย่อนภาษีไม่สม่ำเสมอ การลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน RMF อาจจะไม่เหมาะสมเนื่องจากต้องลงทุนต่อเนื่อง หากปีไหนมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ ก็ยังคงต้องลงทุนเพื่อใช้สิทธิต่อเนื่อง หากในปี 2568 ผู้ลงทุนมีรายได้ค่อนข้างสูง ถึงแม้จะใช้สิทธิลดหย่อนจาก Thai ESG สูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้ และไม่เกิน 300,000 บาท แล้วก็ยังไม่พอ กองทุน Thai ESGX จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ลงทุนได้


สรุป คนที่มีเงินได้ไม่แน่นอน ที่ปีนี้ (2568) ประเมินแล้วว่าจะมีรายได้สูงเป็นพิเศษ และใช้สิทธิลดหย่อนจาก Thai ESG เต็มสิทธิแล้ว การลงทุนในกองทุน Thai ESGX เป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า RMF เพราะไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่อง


เหตุผลที่ 3 คือ เคยซื้อ LTF แต่ขาดทุนอยู่

หนึ่งในเหตุผลของคนที่ถือ LTF จนถึงปัจจุบัน คงหนีไม่พ้นการไม่อยากขายเพราะยังขาดทุนอยู่ โดยทั่วไป สถานการณ์ของคนที่ถือ LTF จะมีผลขาดทุนเฉลี่ยราว 20%-25% (รวมเงินปันผลที่เคยได้รับ) ทำให้ผู้ลงทุนยังคงทนถือไปก่อน


ยกตัวอย่าง ลงทุนในกองทุน LTF 100 บาท เมื่อปี 2562 ถือมาครบ 7 ปีปฏิทิน มีสิทธิขายได้ในปี 2568 แต่มูลค่าตลาดเหลือ 80 บาท ทำให้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในปีนี้ได้ (สมมติว่าฐานภาษีปีนี้ อยู่ที่ 25%) จะประหยัดภาษีได้อีก 80x25% = 20 บาท เท่ากับ LTF ก้อนนี้ เราได้ทุนเราคืนแล้ว แลกกับการถือครองเงินก้อนนี้ในกอง Thai ESGX ไปอีก 5 ปีแบบวันชนวัน โดยมีทางเลือกให้ 2 แนวทาง


ทางเลือกที่ 1 สับเปลี่ยน LTF ไปกองทุน Thai ESGX 80 บาท โดยใช้สิทธิลดหย่อนภาษีรวมสูงสุด 500,000 บาท (ลดหย่อนในปี 2568 ได้ 300,000 บาท และปี 2569-2572 ปีละ 50,000 บาท)


ทางเลือกที่ 2 ขาย LTF แล้วไปลงทุนใหม่ในกองทุน Thai ESGX 80 บาท


สรุป คนที่ถือกอง LTF อยู่ ควรใช้สิทธิผ่านกอง Thai ESGX ด้วย แต่จะใช้ทางเลือกที่ 1 หรือทางเลือกที่ 2 ต้องพิจารณาเรื่องความคุ้มค่า เช่น มีเงินไม่จำกัดและต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด แนะนำให้ใช้ทางเลือกที่ 1 ก่อนแล้วต่อด้วยทางเลือกที่ 2 หากเน้นไม่ต้องให้เงินถูกขังนาน เทียบกับ ผลลัพธ์จากการประหยัดภาษีได้ แนะนำให้ใช้ทางเลือกที่ 2 เป็นต้น


เลือกลงกองทุน Thai ESGX กองไหนดี

กองทุน Thai ESGX จาก บลจ.กสิกรไทย มีอยู่ 2 กองทุน คือ


  1. K-HDThaiESGX มีนโยบายลงทุนในหุ้นปันผล ซึ่งเป็นธุรกิจกลุ่มยั่งยืน ไม่น้อยกว่า 80% ของราคา NAV เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง หรือ เน้นลงทุนในหุ้นไทยเป็นหลัก แบ่งเป็น K-HDThaiESGX-68 สำหรับวงเงินลงทุนใหม่เฉพาะปี 2568 เท่านั้น กับ K-HDThaiESGX-L สำหรับวงเงินลงทุนเดิมที่สับเปลี่ยนมาจาก LTF
  2. K-70ThaiESGX มีนโยบายลงทุนในหุ้นปันผล ไม่เกิน 70% ของราคา NAV ที่เหลืออีก 30% ลงทุนในตราสารหนี้ ESG เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง หรือ ลดสัดส่วนหุ้นไทยลง แบ่งเป็น K-70ThaiESGX-68 สำหรับวงเงินลงทุนใหม่เฉพาะปี 2568 เท่านั้น กับ K-70ThaiESGX-L สำหรับวงเงินลงทุนเดิมที่สับเปลี่ยนมาจาก LTF


คำเตือน

กรณีโอน LTF มายังกองทุน Thai ESGX ให้โอนมาทั้งหมด ภายใน 30 มิ.ย. 68

ผู้เขียน

KWEALTHสุนิติ ถนัดวณิชย์ CFP®

Back to top