การลงทุนในหุ้นไทยยังคงเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสเติบโตในระยะยาว แม้ว่าปี 2025 จะมาพร้อมกับความท้าทายใหม่ๆ จากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ แต่การเข้าใจแนวโน้มตลาดและเลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมจะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างยั่งยืน
โอกาสและความท้าทายในการลงทุนหุ้นไทยปีนี้
กลุ่มหุ้นไทยที่โดดเด่นในปี 2025
หุ้นกลุ่ม ESG (Environmental, Social, and Governance) กำลังกลายเป็นเทรนด์สำคัญในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลมากขึ้น บริษัทที่มีการดำเนินงานโดยยึดหลัก ESG มักจะมีความเสี่ยงต่ำกว่าและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาวได้ดีกว่า
หุ้นปันผลสูง เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่นักลงทุนให้ความสนใจ โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังอยู่ในระดับต่ำ หุ้นกลุ่มนี้ไม่เพียงแต่ให้ผลตอบแทนจากการเติบโตของราคาหุ้น แต่ยังสร้างรายได้สม่ำเสมอจากเงินปันผลอีกด้วย
ความเสี่ยงและปัจจัยเศรษฐกิจที่ควรจับตา
ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องติดตามในปี 2025 คือ นโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ (Reciprocal Tariffs) ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ทำให้หุ้นกลุ่มส่งออกอาจเผชิญกับแรงกดดัน
อีกประเด็นหนึ่งคือ ผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศในระยะสั้น
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยและตัวชี้วัดสำคัญ
วิเคราะห์สถานการณ์ล่าสุดของตลาดหุ้นและ SET Index
ดัชนี SET Index อยู่ที่ระดับ 1,149.18 จุด (ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2568) ปรับตัวลง 16.2% ตั้งแต่ต้นปี 2568 จากแรงกดดันของปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ของ SET อยู่ที่ 14.88 เท่า ใกล้เคียงระดับ -1 มาตรฐานเบี่ยงเบนที่ 15.44 เท่า แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าที่น่าสนใจและมี downside ค่อนข้างจำกัด
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังคงปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่า EPS ของ SET จะลดลงมาอยู่ที่ 83.5-84.0 บาทต่อหุ้น จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 91.4 บาทต่อหุ้น
ปัจจัยมหภาค
อัตราเงินเฟ้อไทย ในเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ -0.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงครั้งแรกในรอบ 13 เดือน จากราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ปรับลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และค่าไฟฟ้าที่อยู่ในระดับต่ำกว่าปีก่อนหน้า
ธปท.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในการประชุมเดือนเมษายน 2568 จากระดับ 2.00% ลงมาอยู่ที่ 1.75% จากความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการค้าจากสหรัฐฯ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงขาลงจากนโยบายการค้าโลกและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง และเงินเฟ้อมีแนวโน้มต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย
การส่งออกไทย กลับมาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนเมษายน 2568 ขยายตัว 10.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน แม้จะเผชิญความท้าทายจากสงครามการค้าระหว่างประเทศ
ค้นหากลยุทธ์ลงทุนหุ้นไทย สร้างรายได้และเติบโตที่ใช่สำหรับคุณ
ประเภทของหุ้นไทยที่ควรพิจารณา
หุ้นไทยปันผลสูง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอ โดยมักเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีฐานะการเงินมั่นคงและสามารถจ่ายเงินปันผลได้อย่างต่อเนื่อง
หุ้น SET50 ประกอบด้วยหุ้น 50 ตัวที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงและผลตอบแทนที่สอดคล้องกับตลาดโดยรวม
หุ้นในกลุ่ม ESG เป็นตัวเลือกสำหรับนักลงทุนที่มองการลงทุนในระยะยาวและต้องการสนับสนุนธุรกิจที่ดำเนินการอย่างยั่งยืน
ทำไมกองทุน Thai ESGX จึงน่าสนใจ
กองทุน Thai ESGX เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้าถึงหุ้นกลุ่ม ESG ในประเทศไทย แต่ไม่ต้องเลือกหุ้นเอง นอกจากนี้ยังมีประโยชน์เพิ่มเติมคือ สามารถนำเงินลงทุนมาลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย โดยลงทุนภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2568 เท่านั้น
K-HDThaiESGX-68 เป็นกองทุนหุ้นที่ลงทุนในหุ้น 100% โดยเน้นหุ้นยั่งยืนที่จ่ายเงินปันผลสมํ่าเสมอและมีศักยภาพในการปันผลสูง เหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้สูง
K-70ThaiESGX-68 เป็นกองทุนผสมที่เน้นลงทุนในหุ้นยั่งยืนที่จ่ายเงินปันผลสมํ่าเสมอและมีศักยภาพในการปันผลสูงในสัดส่วน 70% และตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน 30% เหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง
ข้อควรรู้ก่อนลงทุนในหุ้นไทย
ความเสี่ยงที่ควรระวัง
ความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจโลก เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า GDP ไทยปี 2568 อาจขยายตัวเพียง 1.4% ลดลงจากที่ประเมินไว้เดิมที่ 2.4%
ความเสี่ยงเฉพาะของหุ้นแต่ละกลุ่ม เช่น หุ้นกลุ่มส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวที่อาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว หรือหุ้นกลุ่มการเงินที่มีความเสี่ยงจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ภาษีและสิทธิประโยชน์สำหรับนักลงทุนระยะยาว
สิทธิหักภาษีจากกองทุนลดหย่อนภาษี เช่น กองทุน Thai ESGX ที่สามารถลงทุนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน ไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี โดยไม่รวมกับกลุ่มการออมเพื่อเกษียณอื่นๆ
กลยุทธ์การวางแผนภาษี ควรพิจารณาการกระจายการลงทุนในผลิตภัณฑ์ลดหย่อนภาษีต่างๆ เช่น กองทุน RMF ที่ลงทุนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน ไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับการออมเพื่อเกษียณอื่นๆ รวมถึงการลดหย่อนภาษีผ่านประกันชีวิตและสุขภาพ
การลงทุนในหุ้นไทยปี 2025 ต้องอาศัยการวิเคราะห์อย่างรอบด้านและเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม แม้จะมีความท้าทายจากปัจจัยต่างๆ แต่ระดับมูลค่าปัจจุบันที่น่าสนใจและแนวโน้มนโยบายการเงินที่สนับสนุนอาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มีวิสัยทัศน์ระยะยาว การเลือกลงทุนผ่านกองทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงและมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
K WEALTH แนะนำให้นักลงทุนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-70ThaiESGX-68: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-HDThaiESGX-68: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-HDThaiESGX-68, K-70ThaiESGX-68: ป้องกันความเสี่ยงทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-HDThaiESGX-68, K-70ThaiESGX-68: T+2
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : บลจ.กสิกรไทย, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, SET