อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือนพฤษภาคมชะลอตัวกว่าคาด สะท้อนต้นทุนภาษียังไม่ถูกส่งผ่านไปยังผู้บริโภค

ประเด็นร้อน : เงินเฟ้อสหรัฐฯชะลอตัว ภาษีนำเข้ายังไม่ถึงผู้บริโภค

อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือนพฤษภาคมชะลอตัวกว่าคาด สะท้อนต้นทุนภาษียังไม่ถูกส่งผ่านไปยังผู้บริโภค

กดฟัง
หยุด
  • เงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือนพฤษภาคมต่ำกว่าคาด CPI เพิ่มขึ้น +0.1% MoM (คาด +0.2%) และ +2.4% YoY (ตามคาด) ส่วน Core CPI เพิ่มขึ้น +0.1% MoM (คาด +0.3%) และ +2.8% YoY (คาด 2.9%) ราคาสินค้า-บริการชะลอตัว ภาคธุรกิจยังไม่ส่งผ่านต้นทุนจากภาษีนำเข้ามากนัก
  • แม้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนจะมีสัญญาณดีขึ้น แต่ภาษีนำเข้าอาจดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้น และกระทบการบริโภค-งบการเงินของบริษัท แนะนำคงน้ำหนักการลงทุนในสหรัฐฯ และเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

Market Update

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้นเพียง +0.1% จากเดือนก่อนหน้า ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ +0.2% และ +2.4% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปตามคาด ส่วน Core CPI (ไม่รวมอาหารและพลังงาน) เพิ่มขึ้นเพียง +0.1% (MoM) ต่ำกว่าคาดที่ +0.3% และเพิ่มขึ้น +2.8% (YoY) ต่ำกว่าคาดที่ 2.9% สะท้อนว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับจำกัด


เมื่อมองลึกลงไปในรายละเอียด ราคาสินค้าในหมวดที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้า เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเสื้อผ้า แทบไม่เปลี่ยนแปลง หรือบางรายการราคายังลดลงด้วยซ้ำ ขณะที่ราคาบริการต่างๆ อย่างค่าโรงแรมและตั๋วเครื่องบินก็เริ่มชะลอตัวต่อเนื่อง


ทั้งหมดนี้สะท้อนภาพว่า แม้ภาคธุรกิจต้องเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้า แต่หลายบริษัทก็ยังไม่ได้ส่งผ่านต้นทุนเหล่านี้ไปถึงผู้บริโภคเต็มที่ บางรายยังมีสินค้าคงคลังที่สั่งไว้ก่อนภาษีมีผล ทำให้ราคาสินค้าหน้าร้านยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก


Related Indices & Funds

  • S&P 500 -0.27% ปิดที่ 6,022.24 จุด
  • Dow Jones -0.00% ปิดที่ 42,865.77 จุด

(ข้อมูล ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2568)


Market Outlook

ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะคงดอกเบี้ยไว้ในการประชุมเดือนมิถุนายน แต่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่ลดลง มีโอกาสพิจารณาลดดอกเบี้ยภายในไตรมาส 3 โดยความน่าจะเป็นที่ Fed จะลดดอกเบี้ยภายในเดือนกันยายนตลาดคาดที่ 80%


อย่างไรก็ตาม Fed ยังคงรอดูพัฒนาการของตลาดแรงงานและผลกระทบจากนโยบายภาษีการค้าของรัฐบาลหากเริ่มมีการส่งผ่านราคาไปยังผู้บริโภค จะส่งผลทำให้การบริโภคในไตรมาส 3 มีแนวโน้มลดลง ทั้งจากราคาสินค้า และการเร่งซื้อสินค้าไปแล้วก่อนหน้า



ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทค้าปลีกและกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคอาจจำเป็นต้องเริ่มปรับราคาสินค้าให้สูงขึ้น เพื่อสะท้อนต้นทุนที่เพิ่มจากภาษีนำเข้า หลังจากที่ก่อนหน้านี้ยังพยายามตรึงราคาไว้


แม้ว่าบรรยากาศสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะดูดีขึ้นจากการเจรจาข้อตกลง แต่ภาษีที่ยังมีผลอยู่ อาจทำให้เงินเฟ้อกลับมาสูงขึ้น ขณะที่การบริโภคในไตรมาส 3 เริ่มมีสัญญาณชะลอตัว ซึ่งทั้งหมดนี้อาจกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนด้วย


ปัจจัยหลักที่ต้องติดตาม


  • การเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้า โดยเฉพาะกลุ่มอุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรม
  • รายงานดัชนี PPI (ราคาผู้ผลิต) และ PCE (ดัชนีราคาการบริโภคส่วนบุคคล) ที่จะประกาศช่วงปลายเดือน

คำแนะนำการลงทุน

  • สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นสหรัฐ
    • หากมีสัดส่วนมากกว่า 20% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS
    • หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% แนะนำถือเพื่อรอติดตามพัฒนาการในระยะสั้น
  • สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐ
    • แนะนำชะลอการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างกองทุนหุ้นสหรัฐ และแนะนำให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
    • เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WEALTHPLUS เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
    • แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
    • สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS

หมายเหตุ:
  • ระดับความเสี่ยงกองทุน
    • K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
    • K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
    • K-USA-A, K-US500X-A, K-USXNDQ-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
  • นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
    • K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง100%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
    • K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง มากกว่า 90%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
    • K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-US500X-A: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
    • K-USA-A, K-USXNDQ-A: ป้องกันความเสี่ยงบางส่วน
  • ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
    • K-SFPLUS: T+1
    • K-FIXEDPLUS-A: T+2
    • K-US500X-A, K-USXNDQ-A: T+3
    • K-USA-A: T+4
    • K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6




คำเตือน

“ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”

“ทำความเข้าเงื่อนไขการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีและผลกระทบหากทำผิดเงื่อนไขก่อนตัดสินใจลงทุน”

ผู้เขียน

K WEALTH

Back to top