-
เช้าวันที่ 13 มิ.ย. 2025 อิสราเอลโจมตีฐานทหารและโรงงานนิวเคลียร์ในอิหร่าน เมืองอิสฟาฮาน เพื่อตอบโต้การโจมตีของอิหร่านก่อนหน้า อิสราเอลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ใกล้กาซา-เลบานอน พร้อมเสริมระบบป้องกันทั่วประเทศ ขณะสหรัฐฯ ยืนยันไม่เกี่ยวข้อง และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหลีกเลี่ยงการยกระดับความขัดแย้ง
-
การโจมตีของอิสราเอลในอิหร่านทำให้ความตึงเครียดในตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ ในระยะสั้น อาจทำให้ราคาน้ำมันมีความผันผวนสูงขึ้น และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นทองคำเพิ่มขึ้น นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ แนะนำให้พิจารณาสะสมกองทุนรวมผสมเช่น K WealthPLUS Series ส่วนสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย แนะนำให้ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้
Market Update
เมื่อเช้าวันที่ 13 มิ.ย. 2025 กองทัพอิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีเป้าหมายทางทหารของอิหร่านในเมืองอิสฟาฮาน ซึ่งมีรายงานว่าเป็นสถานที่ตั้งของฐานปฏิบัติการขีปนาวุธ และโรงงานพัฒนานิวเคลียร์บางส่วน การโจมตีในครั้งนี้เป็นการตอบโต้ต่อการโจมตีของอิหร่านก่อนหน้านี้ และทำให้รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอลประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉินเป็นกรณีพิเศษ” สำหรับพื้นที่ภายในรัศมี 80 กิโลเมตร จากฉนวนกาซาและเลบานอน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือหากมีการตอบโต้กลับจากกลุ่มฮามาส ฮิซบอลเลาะห์ หรือกองกำลังอิหร่าน
รายงานเพิ่มเติมจาก CNBC ระบุว่าอิสราเอลมีการเสริมกำลังป้องกันทางอากาศทั่วประเทศ รวมถึงอาจมีแผนเตรียมกองกำลังภาคพื้นดินในกรณีที่สถานการณ์ลุกลาม โดยสหรัฐฯ ยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมออกมาเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่าย “หลีกเลี่ยงการยกระดับ” และให้ความร่วมมือกับนานาชาติในการยุติความขัดแย้
Related Indices & Funds
- Dow Jones Futures -1.41%
- S&P 500 Futures -1.58%
- Nasdaq Futures -1.72%
- NIKKEI 225 -1.48%
- WTI Crude Oil +7.64%
- Gold +1.13%
(ข้อมูล ณ วันที่ 13 มิ.ย. 2025 ณ เวลา 8.40 น.)
Market Outlook
การโจมตีของอิสราเอลในอิหร่านถือเป็นการยกระดับความตึงเครียดในตะวันออกกลางอย่างมีนัยสำคัญ และอาจนำไปสู่ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นในวงกว้าง ในระยะสั้น ราคาน้ำมันมีแนวโน้มผันผวนสูงจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น โดยมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการตอบโต้จากอิหร่านตามมาหลังจากนี้ ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำเพิ่มขึ้น นักลงทุนควรติดตามพัฒนาการของสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
คำแนะนำการลงทุน
- สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้น
- หากมีสัดส่วนมากกว่า 20% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS
- หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% แนะนำถือเพื่อรอติดตามพัฒนาการในระยะสั้น
- สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้น
- เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WEALTHPLUS เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
- แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
- สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง100%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง มากกว่า 90%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS: T+1
- K-FIXEDPLUS-A: T+2
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6