มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เพิ่งออกรายงานชื่อ Critical and Emerging Technologies Index เมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง โดยประเมินว่าในสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนและสหรัฐฯ 5 เรื่อง ได้แก่ AI, ไบโอเทค, เซมิคอนดัคเตอร์ เทคโนโลยีอวกาศ และควอนตัม ปรากฎว่า เรื่องที่จีนมีโอกาสแซงหน้าสหรัฐฯ มากที่สุดคือ ด้านไบโอเทคครับ
เหตุผลเพราะความแข็งแกร่งของจีนด้านทรัพยากรมนุษย์ นั่นคือนักวิทยาศาสตร์ด้านไบโอเทคจำนวนมหาศาลที่สุดในโลก ในขณะเดียวกัน จีนยังเป็นฐานการผลิตยาที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย อีกปัจจัยหนุนคือความยืดหยุ่นของกฎระเบียบของจีนที่ไม่เคร่งครัดเท่าในสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งทำให้สามารถวิจัยและพัฒนายาได้เร็วกว่า เพราะไม่ต้องผ่านกระบวนการขออนุญาตหรือตรวจสอบที่ซับซ้อน
หลายคนจึงทำนายว่าจะเกิด Deepseek Moment ขึ้นอีกในวงการไบโอเทคเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในวงการ AI ที่เทคโนโลยีจีนเริ่มเทียบชั้นสหรัฐฯ จนสั่นสะเทือนไปทั่ววงการ ผู้เชี่ยวชาญบางคนถึงกับบอกว่านี่อาจไม่ใช่ Deepseek Moment แต่เป็น Chat GPT Moment เสียด้วยซ้ำ เพราะ Breakthrough ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวงการไบโอเทคของจีนอาจเป็นของใหม่ไปเลยที่มาพลิกโฉมวงการ (เหมือนการปรากฎขึ้นของ Chat GPT ในวงการ AI) ไม่ใช่เพียงการพัฒนาเทคโนโลยีจีนขึ้นมาแข่งกับเทคโนโลยีที่สหรัฐฯ คิดค้นได้ก่อนแบบในกรณีของ Deepseek
เรื่องปริมาณการทดลองด้านไบโอเทคนั้น จีนชนะสหรัฐฯ เรียบร้อยแล้ว ในปี ค.ศ. 2024 ในจีนมีการทดลองทางคลินิกเพื่อคิดค้นยาใหม่จำนวน 7,100 การทดลอง มากกว่าจำนวนการทดลองยาใหม่ในสหรัฐฯ ที่อยู่ที่ประมาณ 6,000 การทดลอง
โดยเฉพาะในเรื่องยารักษามะเร็งกับยารักษาโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง จีนกำลังทุ่มสุดตัวในการวิจัยและพัฒนายากลุ่มนี้ เพราะจะมีผลมหาศาลต่อการรักษาหลายโรคและต่อการสร้างสังคมอายุยืนและแข็งแรงในกลุ่มประชากรสูงวัย
ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา เราจึงเริ่มเห็นความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับตะวันตกที่กลับทิศทาง จากเดิมที่บริษัทยาจีนต้องซื้อสิทธิบัตรยาฝรั่ง ตอนนี้กลายมาเป็นบริษัทฝรั่งเริ่มหันมาซื้อสิทธิบัตรยาจากจีน ไม่ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่อย่าง Pfizer, AstraZeneca, GSK, Sanofi, Novatis ล้วนมีดีลสั่งซื้อสิทธิบัตรยาจากการค้นพบยาใหม่ๆ ของจีน
เช่นเมื่อปีที่แล้ว ข่าวใหญ่ในวงการไบโอเทคโลกก็คือยารักษามะเร็งปอดของบริษัทจีนมีผลการรักษาที่ดีกว่ายามะเร็งรุ่นใหม่ของยักษ์ใหญ่ฝรั่งอย่างบริษัท Merck จนบริษัทฝรั่งอย่าง Summit Therapeutics ถึงกับทำดีลซื้อสิทธิบัตรยานี้จากจีน
ยังมีอีกสองปัจจัยที่ทำให้หลายคนทำนายว่าจีนอาจจะแซงหน้าสหรัฐฯ เร็วขึ้นมากในเรื่องไบโอเทค เพราะความสามารถในการประยุกต์ใช้ AI มาช่วยในการวิจัยและคิดค้นยาของจีน ซึ่งช่วยลดระยะเวลาการวิจัยและพัฒนาจากเดิมลงมาก
กับอีกปัจจัยคือ รัฐบาลของทรัมป์ที่ลดการสนับสนุนเงินด้านการวิจัยด้านการแพทย์ในสหรัฐฯ และลดเงินสนับสนุนองค์กรระหว่างประเทศอย่าง WHO ซึ่งสั่นคลอนและบั่นทอนกำลังใจนักวิจัยแพทย์และไบโอเทคในสหรัฐฯ อย่างมาก
นี่ยังไม่นับความขัดแย้งระหว่างทรัมป์กับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งนำไปสู่คำขู่ของทรัมป์ที่จะลดเงินสนับสนุนการวิจัยจากรัฐบาลกลางที่ให้แก่มหาวิทยาลัยชั้นนำ ซึ่งเงินก้อนที่ใหญ่มากเป็นเงินที่สนับสนุนการวิจัยด้านการแพทย์และไบโอเทค ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยเม็ดเงินจากรัฐบาลในการดูแลห้องแล็ปและการทำการทดลองทางคลินิกให้มีความต่อเนื่อง
ทั้งหมดนี้จึงส่งผลให้จีนผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯ ในด้านไบโอเทค โอกาสการลงทุนในจีนจึงไม่ใช่อยู่เพียงในเรื่อง AI หรือพลังงานสะอาดเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วบริษัทสตาร์ทอัพด้านไบโอเทคของจีนกำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการเทคโนโลยีโลก และมีศักยภาพที่จะประสบความสำเร็จในการพัฒนายา เครื่องมือแพทย์ หรือผลิตภัณฑ์การแพทย์ใหม่ๆ ซึ่งจะนำไปสู่การก้าวกระโดดของมูลค่าบริษัทหากสามารถยึดครองตลาดจีนและโลกได้สำเร็จ