-
กนง. คงดอกเบี้ยที่ 1.75% ตามคาด ด้วยมติ 6 ต่อ 1 เสียง ชี้ policy space มีจำกัด แม้เศรษฐกิจครึ่งปีแรกขยายตัวดี แต่ยังมีแรงกดดันจากความเสี่ยงด้านการค้า ภูมิรัฐศาสตร์ และการบริโภคในประเทศที่เริ่มชะลอ
-
ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2025–26 ชะลอตัว กนง. คาด GDP ขยายตัวเพียง 2.3% และ 1.7% ตามลำดับ หากไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่ 18% (reciprocal tariff)
-
K WEALTH แนะลงทุนเชิงป้องกันความเสี่ยง มอง Slightly Positive ต่อตราสารหนี้ไทยคุณภาพดีจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง คาดกนง. อาจลดดอกเบี้ยเพิ่มอีกในครึ่งปีหลัง ขณะหุ้นไทยยังถูกกดดันจากปัจจัยการเมืองในประเทศและความเสี่ยงต่างประเทศ จึงมีมุมมอง Slightly Negative
กนง.มีมติคงดอกเบี้ยตามคาด พร้อมเตือนเศรษฐกิจไทยเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 6 ต่อ 1 เสียงให้ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยให้เหตุผลว่า “พื้นที่นโยบายการเงินมีจำกัด” ท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง
แม้ กนง. จะประเมินว่าเศรษฐกิจครึ่งแรกของปีขยายตัวดีกว่าคาด จากแรงส่งของภาคการผลิตและการส่งออกที่เร่งตัวขึ้น แต่ ในช่วงถัดไปมีแนวโน้มชะลอลง จากหลายปัจจัย ทั้งผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยโดยสหรัฐฯ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และการบริโภคในประเทศที่มีแนวโน้มแผ่วลง
สำหรับแนวโน้มในปีถัดไป กนง.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2025 และ 2026 จะขยายตัว ที่ 2.3% และ 1.7% ตามลำดับ บนสมมติฐานว่าประเทศไทยถูกเรียกเก็บ ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ (Reciprocal Tariff) ที่ 18% ซึ่งอาจกดดันการส่งออกและการเติบโตโดยรวมในระยะถัดไป
Related Indices & Funds
หุ้นไทยปิดตลาดภาคเช้าติดลบเล็กน้อย หลังจากพุ่งขึ้นแรงเมื่อวานนี้
- SET -0.26%
- SET50 -0.06%
- MAI -1.34%
- ค่าเงินบาทเช้านี้แข็งค่าเล็กน้อย สู่ระดับ 32.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
(ข้อมูล ณ วันที่ 25 มิ.ย. 2025 ณ เวลา 14.45 น.)
มุมมองการลงทุน
K WEALTH ยังคง มุมมอง Slightly Positive ต่อการลงทุนในตราสารหนี้ไทยคุณภาพดี ที่มีสภาพคล่องสูงและความผันผวนต่ำ โดยคาดว่าจะได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายที่มีโอกาสปรับลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งนี้ ประเมินว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งภายในปีนี้ เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงชะลอตัว
ขณะที่สำหรับตลาดหุ้นไทย K WEALTH ยังคง มุมมอง Slightly Negative โดยประเมินว่าในระยะสั้น ความผันผวนยังคงสูง จากทั้งปัจจัยในประเทศ เช่น เสถียรภาพทางการเมืองที่ยังไม่แน่นอน และพื้นฐานเศรษฐกิจที่เปราะบาง รวมถึงปัจจัยนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดทางการค้า และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งยังคงสร้างแรงกดดันต่อตลาดการลงทุนโดยรวม
คำแนะนำการลงทุน
- สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นไทย
- หากมีสัดส่วนมากกว่า 20% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS
- หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% แนะนำถือเพื่อรอติดตามพัฒนาการในระยะสั้น
- สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นไทย
- สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นไทย ยังไม่แนะนำให้ลงทุน
- เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WEALTHPLUS เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
- แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
- สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง100%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง มากกว่า 90%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- K-STAR-A, K-VALUE: ไม่มีการลงทุนในต่างประเทศ
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS: T+1
- K-FIXEDPLUS-A: T+2
- K-STAR-A, K-VALUE: T+3
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6