-
เศรษฐกิจจีนในไตรมาส 2 ขยายตัว 5.2% เทียบกับปีก่อนหน้า สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากมาตรการกระตุ้นภาครัฐ ท่ามกลางแรงกดดันจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ภายใต้ยุทธศาสตร์การค้าที่แข็งกร้าวของทรัมป์
-
ตลาดหุ้นจีนยังมีความสามารถในการประคองเศรษฐกิจให้เติบโตตามเป้าหมายทั้งปีที่ 5% ได้ แต่ยังต้องติดตามมาตรการสนับสนุนภาคอสังหาฯ อย่างใกล้ชิดในไตรมาสถัดไป จึงแนะนำให้รอประเมินสถานการณ์ก่อนเข้าลงทุนในกองทุนหุ้นจีน
Market Update
วันที่ 15 ก.ค. เศรษฐกิจจีนในไตรมาส 2 ขยายตัว 5.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 5.1% และแม้ต่ำกว่าไตรมาสแรก (5.4%) แต่ยังถือว่าแข็งแกร่ง ท่ามกลางแรงกดดันจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภายใต้ยุทธศาสตร์การค้าแข็งกร้าวของทรัมป์
- ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 6.8% สูงกว่าที่คาด (5.6%)
- การบริโภคภายในผ่านยอดค้าปลีกโตเพียง 4.8% ต่ำกว่าคาด
- การลงทุนสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้น 2.8% แต่การลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังหดตัวถึง 11.2%
- อัตราการว่างงานในเมืองคงที่ที่ 5%
แรงหนุนสำคัญมาจากมาตรการกระตุ้นภาครัฐ เช่น การอัดฉีดเงินผ่านพันธบัตรพิเศษ และเงินอุดหนุนสินค้าคงทน ช่วยประคองการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน ขณะเดียวกันธนาคารกลางจีนยังคงดำเนินนโยบายแบบเฉพาะจุด หลีกเลี่ยงการใช้นโยบายการเงินกระตุ้นแบบวงกว้าง
Related Indices & Funds
- Shanghai Composite +1.03%
- CSI300 +1.45%
- Hang Seng +0.92%
- MSCI China +1.21%
- K-CHINA +1.07%
- K-CCTV +1.38%
- K-GOLD -0.23%
(ข้อมูล ณ วันที่ 14 ก.ค. 2025)
มุมมองตลาด
เศรษฐกิจจีนแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการรับแรงกดดันจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากสงครามการค้า แม้ว่าความเสี่ยงในภาคอสังหาฯ และการบริโภคภายในประเทศจะยังคงอยู่ แต่การที่รัฐบาลยังมีวงเงินพันธบัตรอีกกว่า 7 ล้านล้านหยวนในครึ่งปีหลัง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการสนับสนุนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
K WEALTH ประเมินว่า จีนยังมีความสามารถในการประคองเศรษฐกิจให้เติบโตตามเป้าหมายทั้งปีที่ 5% ได้ แต่ยังต้องติดตามมาตรการสนับสนุนภาคอสังหาฯ อย่างใกล้ชิดในไตรมาสถัดไป
คำแนะนำการลงทุน
- สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นจีน
- หากมีสัดส่วนมากกว่า 20% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS-A
- หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% แนะนำ “คงน้ำหนักการลงทุน” หรือ ทยอยลงทุนในประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวสูงอย่างเช่น อินเดีย และ เวียดนาม
- สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นจีน
- สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นจีน “แนะนำรอประเมินสถานการณ์ก่อนเข้าลงทุน”
- เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WealthPLUS Series เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
- แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS-A เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
- สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS-A
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS-A, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-VIETNAM, K-INDIA-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง 100%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยงมากกว่า 90% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-INDIA-A: ป้องกันความเสี่ยงไม่น้อยกว่ากว่า 75% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-VIETNAM: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS-A: T+1
- K-FIXEDPLUS-A: T+2
- K-INDIA-A: T+4
- K-VIETNAM: T+5
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6