-
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิถุนายนของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น +2.7% เทียบกับปีก่อนหน้า โดยต้นทุนภาษีนำเข้าถูกส่งผ่านมายังผู้บริโภคเร็วขึ้น ขณะที่ Core CPI เพิ่มขึ้น +2.9% เทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาด
-
แม้ Core CPI จะต่ำกว่าคาด แต่ต้องติดตามตัวเลข Core PCE เดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ Fed ใช้ประเมินการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยและติดตามความเคลื่อนไหวของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อ Fed จึงแนะนำให้รอประเมินสถานการณ์ก่อนเข้าลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ
Market Update
วันที่ 15 ก.ค. ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิถุนายนของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น +2.7% (YoY) จาก 2.4% ในเดือนก่อนหน้า และ +0.29% (MoM) สอดคล้องกับคาดการณ์ ขณะที่ Core CPI อยู่ที่ +2.9% (YoY) และ +0.23% (MoM) ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาด
รายงานชี้ว่า ต้นทุนภาษีนำเข้าถูกส่งผ่านมายังผู้บริโภคเร็วขึ้น โดยเฉพาะในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์กีฬา และเฟอร์นิเจอร์
อย่างไรก็ตาม หมวดสินค้า รถยนต์มือสอง (-0.7%) รถใหม่ (-0.3%) และโรงแรม (-2.9%) ยังลดลงต่อเนื่อง ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มจำกัดการใช้จ่ายในสินค้าฟุ่มเฟือย ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านรายได้
Related Indices & Funds
- S&P 500 -0.40% ปิดที่ 6,243.76 จุด
- NASDAQ +0.18% ปิดที่ 20,677.80 จุด
- Dow Jones ลดลง -0.98% ปิดที่ 44,023.29 จุด
(ข้อมูล ณ วันที่ 15 ก.ค. 2568)
มุมมองตลาด
แม้ Core CPI จะต่ำกว่าคาด แต่จากคาดการณ์ดัชนีราคาผู้ผลิต และตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาคาดว่า Core PCE (ประกาศ 31 ก.ค.) จะเร่งขึ้น จากผลของตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นแรงตั้งแต่เดือนเมษายน
ตลาดยังคงคาดการณ์ การลดดอกเบี้ยราว 1-2 ครั้งในปีนี้ โดยส่วนใหญ่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี
ปัจจัยหลักที่ต้องติดตาม
- ตัวเลข Core PCE เดือนมิถุนายน ตัวชี้วัดที่ Fed ใช้ประเมินการดำเนินนโยบายดอกเบี้ย
- ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อ Fed หลังเงินเฟ้อไม่เร่งตัวขึ้นเร็วตามที่คาด
- การตอบสนองของผู้บริโภคต่อราคาสินค้าที่ได้รับผลจากภาษีนำเข้า หากอุปสงค์เริ่มอ่อนแรง
คำแนะนำการลงทุน
- สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นสหรัฐฯ
- หากมีสัดส่วนมากกว่า 30% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS-A
- หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 30% แนะนำ “คงน้ำหนักการลงทุน” หรือ ทยอยลงทุนในประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวสูงอย่างเช่น อินเดีย และ เวียดนาม
- สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ
- สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ “แนะนำรอประเมินสถานการณ์ก่อนเข้าลงทุน”
- เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WealthPLUS Series เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
- แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS-A เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
- สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS-A
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS-A, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-VIETNAM, K-INDIA-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง 100% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยงมากกว่า 90% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-INDIA-A: ป้องกันความเสี่ยงไม่น้อยกว่ากว่า 75% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-VIETNAM: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS-A: T+1
- K-FIXEDPLUS-A: T+2
- K-INDIA-A: T+4
- K-VIETNAM: T+5
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6