-
ตัวเลข GDP Q2/2025 ของจีนขยายตัว 5.2% YoY ในแง่ real GDP แต่ Nominal GDP โตเพียง 3.9% สะท้อนแรงกดดันด้านราคาและความเสี่ยงต่อรายได้ของธุรกิจ ซึ่งอาจกระทบต่อกำไรบริษัทและกำลังซื้อในระยะถัดไป
-
การบริโภคภาคเอกชนโตเพียง 3.4% และการลงทุนภาคเอกชนยังหดตัว ส่งสัญญาณความเปราะบาง ซึ่งอาจผลักดันให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้น เช่น การลดดอกเบี้ยจากระดับปัจจุบันที่ 2.5% หรือเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐในช่วงครึ่งปีหลัง
-
นักลงทุนควรใช้ข้อมูล GDP ประกอบการลงทุนแบบ selective โดยเน้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นผ่านกองทุน K-CHINA ถูกแนะนำให้มีสัดส่วนลงทุนไม่เกิน 20% ของพอร์ตทั้งหมด
ทำไมตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ของจีนจึงสำคัญต่อนักลงทุน?
-
ตัวเลข GDP เป็นเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
ตัวเลข GDP เปรียบเสมือน “ภาพรวมของสุขภาพเศรษฐกิจ” ทั้งระบบ เพราะครอบคลุมการผลิต การบริโภค การลงทุน และการส่งออกของประเทศในช่วงเวลานั้น ๆ การที่ GDP ขยายตัวได้ในระดับ 5.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บ่งชี้ว่าจีนยังมีพลังในการเติบโต แม้จะอยู่ท่ามกลางแรงกดดันจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ
อย่างไรก็ตาม หากมองให้ลึกกว่านั้น GDP ที่โตในแง่ "ปริมาณ" อาจไม่ได้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งในแง่ "คุณภาพ" เสมอไป เพราะเมื่อพิจารณาในแง่ของ “Nominal GDP” หรือมูลค่าทางเศรษฐกิจที่แท้จริง (ซึ่งรวมผลของราคาเข้าไปด้วย) กลับพบว่าเติบโตเพียง 3.9% เท่านั้น ต่ำกว่าระดับเงินเฟ้อในอดีต แสดงให้เห็นถึงแรงกดดันด้านราคาสินค้าและบริการในระบบ ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้ภาคธุรกิจและการจ้างงานในอนาคต
-
เป็นตัวกำหนดมุมมองต่อนโยบายการเงินและการคลัง
การที่ GDP เติบโตแบบชะลอตัวลงในบางองค์ประกอบ เช่น การบริโภคและการลงทุน ทำให้ผู้กำหนดนโยบายต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง “การประคอง” กับ “การกระตุ้น” หากตัวเลข GDP ยังแสดงความเปราะบางหรือมีความเสี่ยงที่จะต่ำกว่าศักยภาพในระยะถัดไป ก็อาจเป็นแรงผลักดันให้มีการออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม เช่น การลดดอกเบี้ย การลดภาษี หรือเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐในโครงการสาธารณูปโภค
ในทางกลับกัน หาก GDP ยังขยายตัวได้พอสมควร รัฐบาลอาจเลือกที่จะ “ชะลอ” การใช้นโยบายกระตุ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเงินในระยะยาว โดยเฉพาะภาระหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
-
มีผลโดยตรงต่อการจัดพอร์ตลงทุน
นักลงทุนที่เข้าใจโครงสร้างของ GDP และแรงขับเคลื่อนเบื้องหลัง จะสามารถประเมินได้ว่าภาคเศรษฐกิจใดมีศักยภาพเติบโต หรือภาคใดกำลังเผชิญความเสี่ยง การกระจายพอร์ตจึงควรพิจารณาจากคุณภาพของการเติบโต ไม่ใช่แค่ตัวเลข headline growth ที่ดู “สวยงาม” แต่ไม่ได้ยั่งยืน
ปัจจัยสำคัญที่ควรจับตาเบื้องหลังตัวเลข GDP
-
โครงสร้างของการเติบโต: รัฐ vs เอกชน / การบริโภค vs การลงทุน
แม้ตัวเลข GDP จะดูเป็นบวก แต่หากแยกองค์ประกอบของการเติบโตออกมาจะพบว่าเศรษฐกิจจีนยังพึ่งพาการใช้จ่ายของภาครัฐเป็นหลัก ไม่ว่าจะผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การอุดหนุนภาคอุตสาหกรรม หรือมาตรการกระตุ้นการบริโภค ซึ่งส่วนใหญ่มาจากรัฐ
ในขณะที่ภาคเอกชน โดยเฉพาะ SMEs และบริษัทที่พึ่งพาการบริโภคในประเทศ กลับมีความเปราะบางสูง แรงจูงใจในการลงทุนใหม่ชะลอลง สะท้อนผ่านตัวเลขการลงทุนภาคเอกชนที่ติดลบ ขณะที่การบริโภค แม้จะมีมาตรการอุดหนุนบางส่วน เช่น การแลกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ ก็ยังไม่เพียงพอที่จะดึงอุปสงค์ขึ้นมาได้อย่างมั่นคง
-
จุดอ่อนของเศรษฐกิจ: อสังหาฯ การว่างงาน หรือการส่งออก
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังคงอยู่ในช่วง “ฟื้นไม่ขึ้น” โดยยอดขายบ้านทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าตกลงต่อเนื่อง ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก เช่น เหล็ก ปูน เครื่องเรือน รวมถึงแรงงานในภาคก่อสร้างซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในประเทศนี้
ขณะเดียวกัน อัตราการว่างงานโดยรวมอาจดูทรงตัว แต่ในเชิงโครงสร้างกลับสะท้อนปัญหาที่ลึกกว่า เช่น วัยรุ่นจบใหม่ที่หางานไม่ได้ และแรงงานย้ายถิ่นที่หลุดออกจากระบบการจ้างงานโดยไม่มีการเก็บข้อมูลที่แม่นยำ
ด้านการส่งออก แม้จะได้อานิสงส์จากการ "พักศึก" ทางการค้าระยะสั้น แต่ความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันและภาษีในอนาคตยังคงเป็นปัจจัยกดดันที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐฯ เริ่มกีดกันสินค้าจีนมากขึ้นในเชิงนโยบายเชิงโครงสร้าง
-
บริบทระหว่างประเทศ: สงครามการค้าและเงินทุนเคลื่อนย้าย
ในโลกที่การแข่งขันด้านเทคโนโลยี การเงิน และความมั่นคงสูงขึ้นทุกปี การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศจึงเกิดขึ้นเร็วและแรงมาก นักลงทุนทั่วโลกจับตาสถานการณ์จีนอย่างใกล้ชิด หากจีนยังแสดงท่าที “อ่อนแรง” หรือไม่มีมาตรการรับมือที่เด็ดขาด เงินทุนอาจไหลออกไปหาประเทศที่มีเสถียรภาพมากกว่าในระยะสั้นได้
นักลงทุนควรวางกลยุทธ์อย่างไรก่อนและหลังตัวเลขประกาศ?
-
ก่อนตัวเลขออก: เตรียมพอร์ตให้ยืดหยุ่นและมีบาลานซ์
ก่อนที่ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญจะประกาศ นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการเทน้ำหนักพอร์ตไปยังกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไป โดยเฉพาะในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงอย่างจีน ควรเลือกถือสินทรัพย์หลากหลายทั้งหุ้น พันธบัตร และเงินสด และหากจำเป็นต้องลงทุนในจีน ควรเน้นกองทุนหรือหุ้นที่เน้น thematic เฉพาะด้านซึ่งมีโอกาสได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐ
-
หลังตัวเลขออก: วิเคราะห์ทั้ง “ตัวเลขจริง” และ “ตลาดตีความ”
บ่อยครั้งที่ตัวเลขจริงออกมาดูดี แต่ตลาดกลับ “ขาย” เพราะมองว่าการกระตุ้นจะลดลง หรือในบางครั้ง ตัวเลขอาจไม่ดีแต่ตลาด “ขึ้น” เพราะคาดหวังว่าจะมีนโยบายกระตุ้นเพิ่มเติม นักลงทุนจึงต้องไม่ดูแค่ตัวเลข แต่ต้องเข้าใจ narrative ที่ตลาดกำลังเล่า และปรับกลยุทธ์ให้ทันกับการตีความของนักลงทุนรายใหญ่
-
ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มโครงสร้างระยะกลาง
หากจีนกำลังเข้าสู่ช่วง “การเติบโตช้าแต่ยั่งยืน” (slow but stable growth) นักลงทุนอาจต้องเปลี่ยนจาก mindset “เทรดตามข่าว” มาเป็นการ “เลือกลงทุนระยะยาว” กับธุรกิจที่มีศักยภาพรองรับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น เทคโนโลยีใหม่ พลังงานสะอาด หรือห่วงโซ่การผลิตที่กำลังย้ายฐานจากประเทศพัฒนาแล้วมายังจีนอีกครั้ง
มุมมองการลงทุนต่อเศรษฐกิจจีนหลัง GDP Q2
- หุ้นจีนยังเหมาะสำหรับการ “เลือกลงทุนแบบเจาะจง (selective)”
การลงทุนในจีนยังมีโอกาส หากนักลงทุนเน้นการวิเคราะห์รายอุตสาหกรรมหรือรายบริษัท ไม่ใช่มองแค่ดัชนีโดยรวม ภาคอุตสาหกรรมอย่างชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์อุตสาหกรรม และพลังงานสะอาด ยังมีแนวโน้มดี เพราะได้รับแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
-
ตลาด H-share อาจตอบสนองเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นในอนาคต
ถึงแม้ตอนนี้นโยบายกระตุ้นอาจยังไม่ออกมารุนแรง แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จีนจะประกาศมาตรการใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี โดยเฉพาะถ้าการส่งออกชะลอตัวจริง นักลงทุนที่มี exposure ต่อ H-share อาจได้ประโยชน์จาก “surprise” เชิงนโยบายในช่วงนั้น
-
ตราสารหนี้และเงินหยวนยังเผชิญแรงกดดันเชิงโครงสร้าง
เศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะ deflation และความคาดหวังต่อดอกเบี้ยขาลง ส่งผลให้พันธบัตรจีนอาจยังมีความเสี่ยงด้านอัตราผลตอบแทนต่ำเกินไป ขณะเดียวกัน เงินหยวนยังถูกกดดันจากช่องว่างอัตราดอกเบี้ยกับประเทศอื่น โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ยังคงดอกเบี้ยในระดับสูงและดึงดูดเงินทุนทั่วโลก
คำแนะนำ
ด้วยทิศทางตัวเลขเศรษฐกิจ มาตรการกระตุ้น และการพัฒนาด้านเทคโนโลยี ทำให้ควรผสมผสานการลงทุนในหุ้นจีนที่รับผลประโยชน์จากปัจจัยดังกล่าว เพิ่มเติมด้วยการ Selective ซึ่งกองทุน K-CHINA มีความเหมาะสมกับแนวทางการลงทุนที่กล่าวมาโดยแนะนำให้นักลงทุนที่
ยังไม่มีสัดส่วนในกองทุน K-CHINA แนะนำทยอยสะสมโดยให้มีสัดส่วนไม่เกิน 20% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด
มีสัดส่วนในกองทุน K-CHINA แล้ว แนะนำถือลงทุนต่อ โดยแนะนำให้มีสัดส่วนไม่เกิน 20% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: Bloomberg