บทความนี้วิเคราะห์จุดเปลี่ยนสำคัญของยุโรปในปี 2025 ทั้งด้านความมั่นคง การคลัง และผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

ยุโรปยกระดับการใช้จ่ายทางทหารและการผ่อนคลายนโยบายการคลังของเยอรมัน: ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น

บทความนี้วิเคราะห์จุดเปลี่ยนสำคัญของยุโรปในปี 2025 ทั้งด้านความมั่นคง การคลัง และผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

กดฟัง
หยุด
  • ยุโรปเร่งยืนหยัดด้วยตนเอง ท่ามกลางภัยคุกคามจากรัสเซียและความไม่แน่นอนของพันธมิตรสหรัฐฯ NATO ตั้งเป้าเพิ่มงบกลาโหมเป็น 5% ของ GDP ภายในปี 2035 แม้หลายประเทศยังลังเลด้านการคลัง เยอรมันและโปแลนด์เดินหน้านำร่อง ขณะที่สัญญาณจากสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ยิ่งตอกย้ำว่า “ยุโรปต้องป้องกันตนเอง”
  • เยอรมันพลิกแนวทางการคลัง ยอมใช้จ่ายเพื่ออนาคต รัฐบาล Merz ออกกองทุนพิเศษ 600 พันล้านยูโร และประกาศลดภาษีนิติบุคคล แม้ต้องแหกกฎ “Debt Brake” ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ตลาดการเงินยังประเมินไม่ครบถ้วน และมีศักยภาพเป็น “game changer” สำหรับเศรษฐกิจยูโรโซน
  • สงครามภาษีทรัมป์–ยุโรป ปะทุแรงกดดันใหม่ต่อเศรษฐกิจ สหรัฐฯ เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าจากยุโรปเป็น 30% ส่งผลต่อ GDP ยูโรโซนมากสุด -1.0% ในกรณีเลวร้าย หุ้นกลุ่มส่งออก เช่น ยานยนต์-ยา-พลังงานสะอาด เผชิญแรงกดดัน ขณะที่ ECB อาจต้องเร่งลดดอกเบี้ยต่ำกว่า neutral rate เพื่อพยุงเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอในปี 2026–2027

จุดเปลี่ยนของยุโรปในโลกที่ไม่แน่นอน ?

ยุโรปในปี 2025 ยืนอยู่ท่ามกลางจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ เมื่อภัยคุกคามด้านความมั่นคงกลับมาอีกครั้งจากสงครามรัสเซีย–ยูเครน สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กลับมายึดแนวทาง “America First” อย่างเข้มข้น และความเชื่อมั่นในพันธมิตรข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเริ่มสั่นคลอน


ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรปสูงถึง 30% โดยจะเริ่มมีผลในวันที่ 1 สิงหาคม 2025 สร้างความตึงเครียดทางเศรษฐกิจอย่างฉับพลัน กลายเป็นสงครามการค้าฉบับย่อที่สั่นสะเทือนห่วงโซ่อุปทานระหว่างสหรัฐฯ กับพันธมิตรเก่าอย่างยุโรปอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


การรวมกันของแรงกดดันทั้งด้านความมั่นคง ภาษี และการเมือง ทำให้ยุโรปต้องหันกลับมาทบทวนบทบาทของตนในเวทีโลก และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ การคลัง และยุทธศาสตร์ความมั่นคงอย่างมีนัยสำคัญ


  1. ยุโรปกับภารกิจใหม่: ยืนหยัดด้วยตัวเอง

    ในการประชุมสุดยอด NATO ที่กรุงเฮก ปี 2025 ผู้นำประเทศสมาชิกตกลงร่วมกันตั้งเป้าหมายเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมเป็น 5% ของ GDP ภายในปี 2035 โดยแบ่งเป็น 3.5% สำหรับกองทัพโดยตรง และอีก 1.5% สำหรับโครงสร้างพื้นฐานไซเบอร์ พลังงาน และข่าวกรอง


    การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในพันธมิตรข้ามมหาสมุทร โดยเฉพาะภายใต้การนำของทรัมป์ ที่เคยตั้งคำถามถึงหลักการ Article 5 ว่าด้วยการร่วมป้องกันประเทศสมาชิก NATO หากถูกรุกราน นี่จึงไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขงบประมาณ แต่เป็นการประกาศว่า “ยุโรปต้องพร้อมปกป้องตนเอง”


    อย่างไรก็ตาม ความมุ่งมั่นนี้ยังห่างไกลจากความเป็นจริงทางการคลัง ประเทศสมาชิกจำนวนมาก เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปน ไม่ได้ใช้ช่องทางยกเว้นทางการคลัง (escape clause) ที่อนุญาตให้เบิกงบด้านกลาโหมนอกกรอบงบประมาณ EU ด้วยซ้ำ Bloomberg ประเมินว่าแท้จริงแล้ว งบประมาณด้านกลาโหมของยุโรปจะเพิ่มถึงเพียงระดับ 3–3.5% ของ GDP เท่านั้น


    เยอรมันและโปแลนด์จึงกลายเป็นสองประเทศหลักที่ขับเคลื่อนแผนดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม โดยเยอรมันไม่เพียงเพิ่มงบกลาโหมเท่านั้น แต่ยังยกเครื่องกฎการคลังใหม่ทั้งหมดเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ใหม่นี้


  2. เยอรมันผ่อนปรนกฎการคลัง

    เยอรมันเคยเป็นสัญลักษณ์ของ “วินัยการคลัง” แห่งยุโรป มีกฎ "Debt Brake" ที่บังคับใช้ผ่านรัฐธรรมนูญเพื่อจำกัดการขาดดุลงบประมาณไม่เกิน 0.35% ของ GDP แต่ปี 2025 ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี Friedrich Merz เยอรมันได้ทำลายข้อจำกัดเดิมเหล่านั้น


    รัฐบาลประกาศกองทุนพิเศษ มูลค่ารวม 600 พันล้านยูโร แบ่งเป็น 100 พันล้านยูโรสำหรับกองทัพ และอีก 500 พันล้านยูโรสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานสะอาด และความมั่นคงดิจิทัล โดยได้รับการยกเว้นจาก Debt Brake


    นอกจากนี้ ยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น มาตรการลดภาษีบริษัท มูลค่า 46 พันล้านยูโร ซึ่งรวมถึงการหักค่าเสื่อมราคาพิเศษ 30% สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์เคลื่อนที่ และรถยนต์ไฟฟ้าราคาต่ำกว่า 100,000 ยูโร โดยจะทยอยลดภาษีนิติบุคคลจากระดับ 30% เหลือ 25% ภายใน 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2028


    มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงบ่งชี้ถึงการผ่อนคลายทางการคลัง แต่ยังสะท้อนว่ารัฐบาลเยอรมันยอม “ใช้จ่ายเพื่ออนาคต” แม้ต้องแบกรับความเสี่ยงด้านหนี้ในระยะกลาง


  3. สงครามภาษีสหรัฐฯ–ยุโรป: ความเสี่ยงใหม่ในสมการเศรษฐกิจ

    ในช่วงเวลาเดียวกัน สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยกระดับความตึงเครียดทางการค้าอีกครั้ง ด้วยการประกาศ “ภาษีตอบโต้แบบเท่าเทียม” หรือ Reciprocal Tariffs โดยจะเพิ่มจาก 10% เป็น 30% ต่อสินค้านำเข้าจากยุโรป มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2025 หากไม่มีข้อตกลงใหม่เกิดขึ้นก่อน


    Bloomberg Economics ประเมินว่า หากการขึ้นภาษีนี้มีผลเต็มรูปแบบ อัตราภาษีเฉลี่ยต่อสินค้านำเข้าจากยุโรปจะเพิ่มขึ้นอีก 20 จุดเปอร์เซ็นต์ ส่งผลกระทบต่อ GDP ของยูโรโซนถึง -1.0% ในกรณีเลวร้ายที่สุด


    สินค้าหลักที่ได้รับผลกระทบจากภาษีชุดใหม่นี้ ได้แก่

    • ยานยนต์เยอรมัน (เช่น BMW, Volkswagen)
    • ยาและเวชภัณฑ์จากไอร์แลนด์ เดนมาร์ก และอิตาลี (Novo Nordisk)
    • สินค้าเกษตรฝรั่งเศส และผลิตภัณฑ์พลังงานสะอาดของยุโรป

    แม้ผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจรวมอาจยังไม่รุนแรงพอจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Bloomberg ยังคงประมาณ GDP ยูโรโซนปี 2025 ที่ 1.2%) แต่การชะลอตัวจะชัดเจนขึ้นในปี 2026–2027 โดยประเมิน GDP ปี 2026 ลดลงเหลือเพียง 0.8% และปี 2027 ที่ 1.3%


    ความเสี่ยงนี้ยังอาจส่งผลให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต้องเร่งลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะลดลงเหลือ 1.5% ภายในสิ้นปี 2025 ต่ำกว่าระดับที่ถือว่าเป็น “กลาง” (neutral rate) ถึง 50 bps เพื่อรองรับแรงกดดันด้าน Demand ที่อ่อนแอ


  4. ภาพรวมตลาดหุ้น: ฝุ่นตลบจากภาษี แต่โอกาสยังไม่หมด

    เมื่อ Donald Trump กลับคืนสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีในต้นปี 2025 และประกาศใช้ “ภาษีตอบโต้” (Reciprocal Tariff) ต่อยุโรปอีกครั้ง บรรยากาศในตลาดหุ้นยุโรปเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ความหวังในการฟื้นตัวหลังโควิดและวิกฤติพลังงานเริ่มถูกบดบังด้วยสงครามการค้า 2.0


    กลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่:

    • Auto: เยอรมันเป็นหัวใจของอุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรป การถูกขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ไม่เพียงส่งผลต่อยอดขาย แต่ยังสร้างความไม่แน่นอนในห่วงโซ่อุปทาน
    • Pharma: บริษัทจากอิตาลี ไอร์แลนด์ และเดนมาร์ก ที่มีการส่งออกไปสหรัฐฯ สูง จะเผชิญแรงกดดันโดยตรง โดยเฉพาะในสินค้ากลุ่ม high margin หรือกลุ่มที่มีอัตรากำไรสูง
    • Green Energy: การขึ้นภาษีต่อเทคโนโลยีสะอาด เช่น แบตเตอรี่และ wind turbines ส่งผลต่อโครงการพลังงานทางเลือกที่มีเป้าหมายไปยังตลาดสหรัฐฯ

    นอกจากแรงกดดันจากภาษีแล้ว ความไม่แน่นอนทางนโยบายการค้า ที่ทวีความรุนแรงขึ้นยังสร้างผลกระทบเชิงจิตวิทยา (sentiment) และทำให้ valuation ของหุ้นยุโรป เริ่มถูก discount จากความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง ส่งผลให้ แนวโน้มการปรับประมาณการกำไร (earnings revision) ของหุ้นยุโรปยังคงติดลบต่อเนื่องในไตรมาส 3/2025


ตลาดหุ้นยุโรปก็ไม่ได้ไร้ความหวังเสียทั้งหมด...

แรงสนับสนุนสำคัญ ที่นักลงทุนบางกลุ่มมองว่า “ยังไม่ได้ถูก price-in” อย่างเต็มที่ คือ การเปลี่ยนทิศทางการคลังของเยอรมัน ซึ่งเป็น “Game Changer” ทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ด้วยแพ็กเกจลดภาษีและงบลงทุนรวมกว่า €600 พันล้าน ผ่านกองทุน SFIK เยอรมันได้ส่งสัญญาณชัดว่า “ยุโรปจะไม่รัดเข็มขัดอีกต่อไป”


แนวโน้มนี้เปิดโอกาสการลงทุนใน หุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน, ความมั่นคง, พลังงานทางเลือก, และอุตสาหกรรม ที่จะได้รับอานิสงส์จากการเร่งลงทุนภาครัฐ ทั้งในด้านระบบราง, ดิจิทัล, และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน


อีกหนึ่งแนวโน้มที่น่าจับตา คือการ outperform ของตลาดหุ้นในประเทศที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ น้อยกว่า เช่น สเปน และโปรตุเกส ซึ่งอาจกลายเป็น “Safe Haven” ภายในยูโรโซนท่ามกลางความปั่นป่วนด้านการค้า


การลงทุนยังเผชิญข้อจำกัดหลายประการ...

Multiplier หรือตัวคูณทางเศรษฐกิจ ของการใช้จ่ายทางทหาร มักต่ำกว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือการศึกษา ซึ่งหมายความว่า แม้รัฐจะเพิ่มงบกลาโหม ก็อาจไม่กระตุ้น GDP หรือ กำไรของบริษัทเท่าไรนัก


แม้ ECB จะลดดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วย แรงกดดันจากสงครามการค้าและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ แรงสนับสนุนต่อตลาดจาก monetary easing อาจไม่เพียงพอ


ลงทุนตลาดหุ้นยุโรปยังไงดีต่อจากนี้ ?

  • สำหรับนักลงทุนอยากลงทุนในหุ้นยุโรป และรับความเสี่ยงได้ — แนะนำลงทุนผ่านกองทุนหุ้นทั่วโลก เช่น K-GSELECT เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของนโยบายการค้าและเศรษฐกิจเฉพาะประเทศ
  • สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางแนะนำลงทุนผ่าน กองทุนผสม K-WealthPLUS Series ที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง J.P Morgan Asset Management ทีมีการกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ รวมถึงหุ้นยุโรปด้วยเช่นเดียวกัน