-
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% พร้อมปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2025 เป็น 2.7% สูงกว่าตลาดคาด โดยให้เหตุผลจากต้นทุนอาหารที่สูงขึ้น
-
แม้ BOJ ยังไม่ส่งสัญญาณชัดเจนถึงการขึ้นดอกเบี้ยครั้งถัดไป แต่ตลาดคาดว่าอาจมีการขึ้นดอกเบี้ยช่วงปลายปี หากเศรษฐกิจยังแข็งแรง และผลกระทบจากภาษีนำเข้าไม่รุนแรง
-
K WEALTH คงมุมมอง Neutral ต่อหุ้นญี่ปุ่น หากมีสัดส่วนลงทุนไม่เกิน 20% แนะนำคงพอร์ต แต่หากเกิน 20% ควรทยอยขายทำกำไร ลดเหลือไม่เกิน 20% เพื่อรับมือความไม่แน่นอนด้านนโยบายการเงินและการเมืองในประเทศ
BOJ คงดอกเบี้ย พร้อมปรับคาดเงินเฟ้อสูงกว่าคาด
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติ “เอกฉันท์” คงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% ตามคาดไว้ โดยให้เหตุผลว่ายังต้องประเมินผลกระทบของภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ต่อภาคส่งออกและเศรษฐกิจภายในประเทศ แม้เพิ่งบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ เมื่อ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา
ประเด็นสำคัญคือ BOJ ปรับขึ้นคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2025 จาก 2.2% เป็น 2.7% สูงกว่าตลาดคาดการณ์ที่ 2.5% และยังปรับเพิ่มเล็กน้อยในปี 2026 และ 2027 ด้วย โดยอ้างอิงจากราคาข้าวและอาหารที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังระบุว่า “ความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อมีความสมดุลมากขึ้น” ต่างจากเดิมที่เน้น downside risk
แม้การประชุมรอบนี้ไม่มีการส่งสัญญาณชัดเจนถึงการขึ้นดอกเบี้ยรอบถัดไป แต่ตลาดมองว่าการปรับประมาณการดังกล่าวเป็นสัญญาณว่า BOJ อาจเตรียมปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง และผลของภาษีนำเข้าไม่รุนแรงเกินไป
Related Indices & Funds
- Nikkei 225: +0.91%
- Topix: +0.71%
(ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ค. 68)
มุมมองการลงทุน
แม้ BOJ ยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมล่าสุด แต่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนไปก่อนหน้านี้ว่ามีโอกาสขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งในช่วงปลายปี พร้อมปรับคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2025 ขึ้นสูงกว่าคาดการณ์เดิม
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังได้รับแรงหนุนจาก:
- แนวโน้มเปลี่ยนผ่านจากเงินฝืดสู่เงินเฟ้อ หนุนการเติบโตของกำไรบริษัท
- การปฏิรูปธรรมาภิบาลองค์กรที่ส่งเสริมผลตอบแทนผู้ถือหุ้น เช่น Dividend และ Buyback
อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนจาก:
- ความเปราะบางทางการเมืองในประเทศ
- ความไม่ชัดเจนของทิศทางนโยบายการเงินในระยะถัดไป
- เงินเฟ้อที่ยังคงเกินเป้าและปรับตัวลงช้า
คำแนะนำการลงทุน
- สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นญี่ปุ่น
- หากมีสัดส่วนมากกว่า 20% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS
- หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% แนะนำ “คงน้ำหนักการลงทุน”
- สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนญี่ปุ่น
- สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนญี่ปุ่น “รอโอกาสลงทุนที่น่าสนใจ”
- เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WEALTHPLUS เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
- แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
- สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-JPX-A, K-JP-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง100%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง มากกว่า 90%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-JPX-A, K-JP-A: ป้องกันความเสี่ยง ไม่น้อยกว่ากว่า 75%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS: T+1
- K-FIXEDPLUS-A: T+2
- K-JPX-A: T+3
- K-JP-A: T+4
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6