-
ตลาดหุ้นจีน หนึ่งในตลาดหุ้นที่ทำผลตอบแทนดีที่สุดในโลกขณะนี้ เพียงแค่ 7 เดือนดัชนี Hang Seng ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 20%
-
ปัจจัยหนุนตลาดหุ้นจีนรอบด้าน ทั้งทางการจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง เน้นการบริโภคภายในประเทศ การเข้ามาดูแลภาคอสังหาฯอย่างจริงจังมากขึ้น ตลาดมีความคาดหวังการบรรลุดีลการค้ากับสหรัฐฯ การเข้ามาดูแลเสถียรภาพของตลาดหุ้นเพื่อเรียกความเชื่อมั่น ประกอบกับ Valuation ที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้ปีนี้ Fund Flow ไหลจากจีนแผ่นดินใหญ่เข้าสู่ตลาดฮ่องกง (Southbound flows) พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
-
แม้ราคาปรับขึ้นมาเยอะแล้ว แต่หุ้นจีนยังมี Upside แนะนำลงทุนแบบ Selective ในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ได้แก่ กลุ่ม Technology , Consumer Discretionary และ Communication Service แนะนำกองทุน K-CHINA ซึ่งเป็นกองทุน All China ที่ลงทุนในทั้ง 3 กลุ่มในสัดส่วนรวมกันกว่า 65% ของพอร์ต (ณ 30 มิ.ย. 68)
เจาะปัจจัยขับเคลื่อนแดนมังกร
ตลาดหุ้นจีนเรียกว่าเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่ทำผลตอบแทนดีที่สุดในโลก เพียงแค่ 7 เดือนเท่านั้น โดยเฉพาะดัชนี Hang Seng มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% แล้ว หลักๆ มาจากกลุ่มเทคโนโลยีและการบริโภค อะไรกันที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนวิ่งขึ้นมาขนาดนี้ แน่นอนว่ามีหลายปัจจัยที่สนับสนุนอย่างพร้อมเพรียงกัน ได้แก่
-
ทางการจีนอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน ทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง โดยหันไปกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้นเพื่อลดแรงกดดันจากภายนอก และทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามเป้าหมาย
-
จริงจังกับการจัดการปัญหาในภาคอสังหาฯ มากขึ้น ทางการจีนเริ่มงัดทุกวิถีทาง ทั้งลดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน ผ่อนปรนเงื่อนไขการซื้อบ้าน ล่าสุดเริ่มใช้ไม้แข็ง ด้วยการออกกฎเหล็ก ‘สั่ง’ ให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ ของรัฐบาลกลาง ‘ต้องไม่ผิดนัดชำระหนี้สาธารณะเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคอสังหาฯ
-
Valuation อยู่ในระดับต่ำ ก่อนหน้านี้ช่วงต้นปี ดัชนี MSCI China เทรด Fwd P/E 10.2X ใกล้ -1 S.D. โดยปัจจุบัน เริ่มกลับเข้ามาเทรดแถวระดับค่าเฉลี่ย 5 ปีแล้ว
-
ตลาดมีความคาดหวังการบรรลุดีลการค้ากับสหรัฐฯ หลังหลายประเทศบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่น เวียดนาม อินโด สิงคโปร์ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และอื่นๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นอัตราภาษีที่ถูกเรียกเก็บลดลง
-
กระแสเงินลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่เข้าสู่ตลาดฮ่องกง (Southbound flows) เห็นได้จากดัชนี Hang Seng ที่พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2025 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อตลาดฮ่องกง และฟื้นตัวของกระแสของหุ้น IPO ใหม่ๆ ที่กลับมามากขึ้น
พิชิตโอกาสหุ้นจีนกับ K-CHINA
แม้หุ้นจีนปรับตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 20% นับจากต้นปี เรามองว่ายังมี Upside แต่แนะนำลงทุนแบบ Selective ในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ เช่นกลุ่ม Technology, Consumer Discretionary และ Telecommunication และตลาดหุ้นจีน A-Share ที่ยัง Underperform ก่อนหน้านี้ ผ่านกองทุน K-CHINA
ทำไมต้อง K-CHINA ?
-
เน้นลงทุนในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ
- โอกาสลงทุนในหุ้นจีนเศรษฐกิจยุคใหม่ (New Economy) ที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง และ Lifestyle ของคนจีน เช่น ผลิตและบริโภคเองภายในประเทศ (Localization), ยุคดิจิทัล (Digitalization and Virtualization) การลดคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการดูแลสุขภาพ เป็นต้น
- ปัจจุบันกองทุนเน้นลงทุนในกลุ่ม Consumer Discretionary 27.7% , Consumer Services 22.2% และ Technology 15.5% คิดเป็นสัดส่วนรวมกันกว่า 65.4% ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมีแนวโน้มเติบโตสูง
- กลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับการบริโภค (Consumer Discretionary และ Consumer Services) : แม้จีนจะเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงภายนอกด้าน Geopolitical Risks แต่การบริโภคภายในประเทศจะช่วยหนุนเศรษฐกิจจีนจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจในประเทศจีนและลดความไม่แน่นอนตรงนี้ลงได้
- กลุ่มเทคโนโลยี : ได้ประโยชน์จากการเปิดตัว Software Tech / AI ใหม่ๆ จะเป็นตัวดึงดูดเม็ดเงินลงทุน และแม้สหรัฐฯ จะมีการจำกัดการส่งออกชิปให้กับจีน แต่อุตสาหกรรมการผลิตชิปของจีนเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากการเร่งขยายการลงทุน และพร้อมครองตลาดในอนาคต
- โอกาสลงทุนในหุ้นจีน A-Share ที่กำลัง Underperform H-Share อย่างมาก
- กองทุน K-CHINA เป็นกองทุน All China ดังนั้น ลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในทุกตลาดทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น A-Share, H-Share หรือหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ (ADR)
- ข้อมูลจาก Bloomberg ชี้ว่าปัจจุบันส่วนต่างการปรับขึ้นของหุ้นจีน A-share และ H-Share กว้างมากขึ้น และมากที่สุดในรอบ 20 ปี ทำให้บริษัทระดับโลกอย่าง JPM มองว่าเป็นการโอกาสในการลงทุนในหุ้นจีน A-Share ด้วยเหมือนกัน ซึ่งเป็นข้อดีของกองทุนจีนประเภท All China
- กองทุนมีสไตล์การลงทุนแบบ High Conviction และคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-Up 50-85 ตัว ไม่ต้องกังวลแม้ตลาดหุ้นจีนภาพรวมจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมามากแล้ว
Top 10 Holdings
Name
|
Sector
| %Weight
|
Tencent
| Communication Services
| 9.7%
|
Alibaba
| Consumer Discretionary
| 9.1%
|
Xiaomi
| Information Technology
| 8.4%
|
NetEase
| Communication Services
| 4.7%
|
Meituan
| Consumer Discretionary
| 4.7%
|
Pinduoduo
| Consumer Discretionary
| 4.5%
|
China Merchants Bank
| Financials
| 4.0%
|
Ping An Insurance
| Financials
| 3.7%
|
China Citic Bank
| Financials
| 2.9%
|
Trip.com
| Consumer Discretionary
| 2.5%
|
ตัวอย่างหุ้น Top 10 Holdings ( as of 30 June 2025)
- Tencent บริษัทเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งธุรกิจเกมเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของ Tencent ขณะที่ Wechat และธุรจกิจโฆษณาก็เติบโตต่อเนื่องจากการมีฐานผู้ใช้งานจำนวนมาก นอกจากนี้ Tencent ยังมีการลงทุนใน AI อย่างต่อเนื่องโดยไตรมาสที่ผ่านมา มีการลงทุนใน AI เพิ่มขึ้นกว่า 91% YoY
- กลุ่มที่เป็น Retail Platform ตัวได้แก่ Alibaba Meituan PinDuoduo มีการปรับฐานลงมามากแล้วพอสมควร จากประเด็นการแข่งขันสูง K WEALTH มองว่าน่าจะพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และเป็นโอกาสดีในการลงทุน
- Xiaomi ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นมากว่า 60% นับจากต้นปี นักลงทุนมีความคาดหวังอย่างมากต่อเทคโนโลยีของ Xiaomi จากการประกาศแผนลงทุนอย่างน้อย 50,000 ล้านหยวนในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาชิปมือถือของตัวเอง นอกจากนี้บริษัทยังมีการเปิดตัวรถ EV รุ่นใหม่ๆ ออกมา
- NetEase ธุรกิจเกมยังเติบโตได้ดีทั้งเกมเก่าและเกมใหม่ โดยเกมของ NetEase มีการขยายไปยังต่างประเทศอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังพัฒนาประสบการณ์เล่นเกมโดยใช้เทคโนโลยี AI
- Trip.com บริษัทท่องเที่ยวออนไลน์รายใหญ่ของจีน (เจ้าของแบรนด์ Trip.com, Ctrip, Skyscanner และ Qunar) รายได้และกำไรเติบโตโดดเด่น จากความต้องการเดินทางทั้งในประเทศจีนและต่างประเทศขยายตัวดี การจองผ่านแอปและช่องทางดิจิทัลเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งกลุ่มลูกค้าในต่างประเทศ (ผ่าน Skyscanner และ Trip.com global) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
หากในเวลานี้คุณกำลังมองหาการลงทุนในหุ้นจีน แต่กังวลว่าหุ้นจีนราคาขึ้นไปมากแล้ว กองทุน K-CHINA คือการผสมผสานที่กลมกล่อม ทั้งการมีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศ อีกทั้งยังมีสัดส่วนการลงทุนใน A-Share ที่ Underperform H-Share สุดในรอบ 20 ปีอีกด้วย จึงนับว่าเป็นกองทุนหุ้นจีนที่ตอบโจทย์สภาวะตลาดในเวลานี้ได้อย่างลงตัว
- สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีน แนะนำลงทุนไม่เกิน 20% ของพอร์ต
- สำหรับนักลงทุนมีสัดส่วนแล้ว และสูงกว่า 20% ของพอร์ตการลงทุนโดยรวม แนะนำกระจายการลงทุนไปยังกองทุนแนะนำอื่นที่ K WEALTH แนะนำ