-
ปัญหาการรอเตียงนานในโรงพยาบาลรัฐเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยไทยต้องเผชิญ จากข้อจำกัดด้านงบประมาณ บุคลากรไม่เพียงพอ และจำนวนเตียงที่น้อยกว่าต่างประเทศถึง 3 เท่า หรือต้องรอคิวนานถึง 3 ชั่วโมงเพื่อพบแพทย์เพียง 5 นาที
-
ทางออกที่จะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาการรอเตียงนานและได้รับการรักษาที่มีคุณภาพคือ การเลือกประกันสุขภาพที่เหมาะสม โดยพิจารณาแบบประกันสุขภาพที่ไม่จำกัดค่าห้องและครอบคลุมการรักษาแบบเหมาจ่าย
การรอเตียงนาน เป็นปัญหาที่ผู้ป่วยในโรงพยาบาลรัฐเจอกันอย่างแพร่หลาย เป็นเรื่องราวที่ผู้คนชอบมาแชร์กันอยู่เสมอ รวมถึงการที่ต้องไปหาหมอไกลบ้าน เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่สะท้อนถึงข้อจำกัดของโรงพยาบาลรัฐ ซึ่งมีสาเหตุหลากหลายและส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยอย่างมีนัยสำคัญ
สาเหตุหลักของการรอเตียงนาน
-
ข้อจำกัดด้านงบประมาณและบุคลากร
ปัญหาใหญ่ที่สุดของโรงพยาบาลรัฐคือ ข้อจำกัดด้านทรัพยากร โรงพยาบาลรัฐมีงบประมาณและบุคลากรจำกัด แต่ปริมาณคนไข้มีจำนวนมาก
- ญี่ปุ่น มีสัดส่วนเตียง 7.9 : 1,000 ประชากร
- เกาหลีใต้ มีสัดส่วนเตียง 6.4 : 1,000 ประชากร
- ประเทศไทย เมื่อรวมทั้งเตียงภาครัฐและเอกชน มีสัดส่วนเตียงเพียง 2.4 : 1,000 ประชากร
สถิติเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยยังมีจำนวนเตียงไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากร ทำให้เกิดการรอคิวที่ยาวนาน
-
จำนวนเตียงไม่เพียงพอต่อความต้องการ
สัดส่วนจำนวนเตียงในสถานพยาบาลของไทยยังถือว่าห่างไกลจากระดับค่าเฉลี่ยของระดับสากล เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลกับประเทศเอเชียในกลุ่ม OECD
-
ปัญหาระบบและอุปกรณ์
นอกจากปัญหาจำนวนเตียงแล้ว ยังมีปัญหาด้านระบบ และอุปกรณ์การแพทย์ที่ยังไม่เพียงพอ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้กระบวนการรักษาพยาบาลใช้เวลานาน
ผลกระทบต่อผู้ป่วย
การรอคิวนาน
ผู้ป่วยต้องรอคิวนานหลายชั่วโมง เพื่อให้ได้รับการรักษา การที่ต้องมาโรงพยาบาลแต่เช้าตรู่เพื่อให้ได้รับคิวแรกๆ กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการสอบประวัติ พบแพทย์ จ่ายเงิน รับยา คิวแรกของวันอาจจะต้องใช้เวลารอนานถึง 3 ชั่วโมง เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลา อาจทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ไม่ทันท่วงที
การเดินทางไกล
การขาดแคลนบุคลากรในสถานพยาบาลท้องถิ่นทำให้ผู้ป่วยต้องเดินทางไกลจากบ้านเพื่อไปรักษาตัวในเมือง ซึ่งเป็นภาระทั้งด้านเวลาและค่าใช้จ่าย
การดูแลตัวเองด้วยประกันสุขภาพ
ข้อดีของการมีประกันสุขภาพ
- เข้าถึงโรงพยาบาลเอกชนได้ง่าย ลดปัญหาการรอคิวหรือรอเตียงนาน
- ได้รับการรักษาที่รวดเร็วและมีคุณภาพ เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนมีบุคลากรและอุปกรณ์เพียงพอ
- เลือกแพทย์และเวลาได้ ตามความต้องการของผู้ป่วย
- ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษา เมื่อเจ็บป่วยไม่ต้องควักเงินจ่ายค่ารักษาเอง
- สามารถลดหย่อนภาษีได้ ค่าเบี้ยประกันสุขภาพนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาทต่อปี และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี
ประกันชีวิตและสุขภาพ D Health Plus
D Health Plus เป็นหนึ่งในตัวเลือกประกันสุขภาพที่น่าสนใจ โดยมีจุดเด่นดังนี้
ความคุ้มครองที่ครอบคลุม
- คุ้มครองทั้งโรคมะเร็ง โรคไต โรคร้ายแรง โรคทั่วไป โรคระบาด และอุบัติเหตุ
- คุ้มครองกรณีผู้ป่วยใน และผลประโยชน์เพิ่มเติมกรณีผู้ป่วยนอก
- วงเงินความคุ้มครองค่ารักษาเหมาจ่ายสูงสุด 5 ล้านบาทต่อครั้ง
ความสะดวกในการใช้บริการ
- นอนห้องเดี่ยวมาตรฐานได้ทุกโรงพยาบาล ไม่มีส่วนต่าง
- เหมาจ่ายตั้งแต่บาทแรก หรือเลือกความรับผิดส่วนแรกเพื่อลดค่าเบี้ยประกัน
รายละเอียดเกี่ยวกับค่าห้องของ D Health Plus
จุดเด่นสำคัญของ D Health Plus คือ คุ้มครองค่าห้องแบบเหมาจ่ายตามจริง ไม่เกินค่าห้องพักเดี่ยวมาตรฐาน
การคุ้มครองค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน
- จ่ายค่าห้องเดี่ยวมาตรฐานตามจริงของโรงพยาบาลนั้นๆ ไม่มีขีดจำกัด
- ประกันสุขภาพทั่วไปจำกัดค่าห้องเพียง 2,000-4,000 บาทต่อวัน
- หากค่าห้องเดี่ยวมาตรฐานในอนาคตเพิ่มขึ้นเป็น 20,000-30,000 บาทต่อคืน ก็ยังจ่ายตามจริง
ตัวอย่างการเปรียบเทียบค่าห้องโรงพยาบาลกรุงเทพ
- ค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน 11,300 บาทต่อวัน
- ประกันสุขภาพทั่วไป (จำกัด 2,000-4,000 บาทต่อวัน) ต้องจ่ายส่วนต่างเอง 7,300-9,300 บาทต่อวัน
- D Health Plus จ่ายค่าห้องเต็มจำนวน 11,300 บาทต่อวัน ไม่ต้องจ่ายส่วนต่าง
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
- ค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน 14,700 บาทต่อวัน
- ประกันสุขภาพทั่วไป (จำกัด 2,000-4,000 บาทต่อวัน) ต้องจ่ายส่วนต่างเอง 10,700-12,700 บาทต่อวัน
- D Health Plus จ่ายค่าห้องเต็มจำนวน 14,000 บาทต่อวัน ไม่ต้องจ่ายส่วนต่าง
ข้อจำกัดและเงื่อนไข
- คุ้มครองค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน รวมสูงสุดไม่เกิน 180 วันต่อการเข้าพักรักษาครั้งหนึ่ง
- ค่าห้องผู้ป่วยหนัก (ICU) สูงสุดไม่เกิน 60 วันต่อการเข้าพักรักษาครั้งหนึ่ง
- หากต้องการพักในห้องราคาแพงกว่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน ต้องจ่ายส่วนเกินเพิ่มเติม
การมีประกันสุขภาพที่ดีเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพที่คุ้มค่า ช่วยให้เราหลีกเลี่ยงปัญหาการรอเตียงนานในโรงพยาบาลรัฐ และได้รับการรักษาที่มีคุณภาพ
ข้อแนะนำในการเลือกประกันสุขภาพ
- พิจารณาความต้องการส่วนตัว วิเคราะห์ว่าต้องการความคุ้มครองในระดับไหน
- เลือกวงเงินที่เหมาะสม ควรเลือกวงเงินที่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลที่ต้องการใช้บริการ
- ศึกษาเงื่อนไขอย่างละเอียด เข้าใจข้อยกเว้นและระยะเวลารอคอย
- เปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ เปรียบเทียบความคุ้มครองและค่าเบี้ยประกันจากหลายบริษัท
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ขอคำแนะนำจากตัวแทนประกันที่เชื่อถือได้
ในยุคที่ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์สูงขึ้น และปัญหาการรอเตียงในโรงพยาบาลรัฐยังคงเป็นความท้าทาย การมีประกันสุขภาพที่ดีจึงเป็นเสมือนร่มกันฝนที่จะช่วยปกป้องเราและครอบครัวจากความเสี่ยงทางการเงินและได้รับการรักษาที่มีคุณภาพเมื่อยามเจ็บป่วย การลงทุนในประกันสุขภาพวันนี้ คือการลงทุนในอนาคตที่มั่นคงเพื่อสุขภาพที่ดีของเราเอง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
เมืองไทยประกันชีวิต และ Hfocus