-
เดือนกรกฎาคม 2568 ตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ และไทยเคลื่อนไหวแบบตรงข้าม หลังตลาดมองว่า Fed จะลดดอกเบี้ยช้ากว่าคาด ทำให้ Bond Yield สหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ฝั่งไทย Bond Yield ปรับลดต่อเนื่อง จากความคาดหวังว่ากนง.จะผ่อนคลายนโยบายการเงินในไม่ช้า หลังได้ผู้ว่าฯ คนใหม่
-
กองทุนตราสารหนี้ที่เราแนะนำทำผลตอบแทนบวกต่อเนื่อง 7 เดือนติดต่อกันในปีนี้
-
K WEALTH มองว่าตราสารหนี้ยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจในปีนี้ จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ยังเป็นขาลงทั่วโลก ยังคงแนะนำลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ เพื่อเสริมเสถียรภาพและลดความผันผวนในพอร์ต
Bond Yield สหรัฐฯ และไทย ในเดือนกรกฏาคม 2568 เคลื่อนไหวไปคนละทิศทาง
-
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (US Bond Yield) ในเดือน ก.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน
- US Bond Yield อายุ 2 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 3.72% ณ สิ้นเดือนมิ.ย. มาอยู่ที่ 3.95% ณ สิ้นเดือนก.ค.
- US Bond Yield อายุ 10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 4.22% ณ สิ้นเดือนมิ.ย. มาอยู่ที่ 4.37% ณ สิ้นเดือนก.ค.
สาเหตุหลักมาจากการ คณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) ที่มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.25-4.50%
เป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกันในปีนี้ หลังจากลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม จุดที่น่าจับตาคือ กรรมการ 2 ท่านโหวตให้ลดดอกเบี้ยลง 25 bps ซึ่งถือเป็นสัญญาณแรกของความเห็นที่แตกต่างภายในคณะกรรมการฯ แต่ตลาดกลับตีความว่า Fed จะลดดอกเบี้ยน้อยลงและช้ากว่าที่เคยคาด นำไปสู่การปรับตัวขึ้นของ Bond Yield ในเดือนกรกฎาคม
-
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทย (TH Bond Yield) ในเดือนก.ค. ปรับตัวลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2568
- TH Bond Yield อายุ 2 ปี ลดลงสู่ 1.29%
- TH Bond Yield อายุ 10 ปี อยู่ที่ 1.50% ณ สิ้นเดือนก.ค.
จากความคาดหวังว่า กนง.ลดดอกเบี้ยที่เริ่มชัดเจนขึ้นตลอดเดือนกรกฎาคม หลังการแต่งตั้งนายวิทัย รัตนากร (อดีตผู้อำนวยการธนาคารออมสิน) เป็นผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ ซึ่งมีแนวทางสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากมากกว่าการยึดมั่นกับดอกเบี้ยระดับสูง ทำให้ตลาดมองว่าการดำเนินนโยบายทางการเงินจะผ่อนคลายมากขึ้น แม้ว่าสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จะปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยในปี 2568 ขยายตัว 2.2% จากเดิมที่ 2.1% ทำให้ตลาดหุ้นไทย +14% MoM แต่เงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือนกรกฎาคม 2568 ลดลง 0.7% YoY ติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 หนุนความเชื่อของตลาดว่า กนง. อาจพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ โดยตลาดกำลังจับตาดูการประชุม กนง. รอบถัดไปในวันที่
13 สิงหาคม 2568 นี้ว่าจะส่งสัญญาณในการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมหรือไม่
กองทุนตราสารหนี้กสิกรไทย รักษาฟอร์มดี บวกต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี
กองทุนตราสารหนี้ที่เราแนะนำยังคงทำผลตอบแทนดีสม่ำเสมอ บวกต่อเนื่องทุกเดือน ยาวติดต่อกัน 7 เดือน โดยนับจากต้นปีถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม กองทุน K-SF-A +1.16%, K-SFPLUS-A +1.38%, K-FIXED-A +3.41% และ K-FIXEDPLUS-A +3.49%
กองทุนตราสารหนี้ ไปต่อ หรือ พอแค่นี้ ?
กองทุนตราสารหนี้ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจในครึ่งหลังของปี 2568 เนื่องจาก Bond Yield ยังมีโอกาสปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เนื่องจากคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป จากอัตราเงินเฟ้อของไทยติดลบต่อเนื่อง ทำให้มีพื้นที่ในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ขณะที่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะยังคงมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงต่อเนื่องในปี 2568 – 2569 ถึงแม้ว่าจะมีแนวโน้มที่ช้าลงแต่ภาพรวมอัตราดอกเบี้ยนโยบายเกือบทุกประเทศทั่วโลกยังอยู่ในวัฎจักรอัตราดอกเบี้ยขาลง ซึ่งส่งผลให้ Bond Yield ยังมีโอกาสปรับตัวลดลงต่อ
ทั้งนี้
เงินฝากและ Term Fund ให้ผลตอบแทนลดลงเรื่อยๆ การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้จึงโดดเด่นกว่า เพราะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ทั้งจาก Capital Gain และ Yield จากตราสารที่ล็อกผลตอบแทนสูงไว้ตั้งแต่ช่วงที่ Yield อยู่ในระดับสูง และการกระจายลงทุนในตราสารคุณภาพสูงที่ช่วยลดความเสี่ยง Default พร้อมทั้งเป็นทางเลือกที่ดี ที่ใช้รับมือกับความผันผวนจากตลาดหุ้นโลก ท่ามกลางความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนจากจากสงครามการค้า
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดเริ่มคาดหวังการปรับลดดอกเบี้ยจากธนาคารกลางทั่วโลก ตลาดพันธบัตรอาจเกิดความผันผวนได้ในระยะสั้น แต่หากนักลงทุนหยุดหรือลดสัดส่วนการลงทุนกลางคัน อาจทำให้พลาดโอกาสสำคัญ และกลับเข้ามาจับจังหวะลงทุนได้ยาก ดังนั้น
เราแนะนำให้ถือกองทุนตราสารหนี้ให้สอดคล้องกับ Duration ของกองทุน (เช่น ถือ 1 ปีขึ้นไปสำหรับกองทุน K-FIXED-A) เพื่อลดความผันผวนในระยะสั้น และไม่พลาดโอกาสรับผลตอบแทนจากพอร์ตที่ล็อก Yield ไว้ตั้งแต่ช่วงดอกเบี้ยสูง
คำแนะนำในการลงทุน
สำหรับนักลงทุนระยะสั้น
เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก เน้นความสม่ำเสมอ มีสภาพคล่องสูง เพื่อพักเงินระยะสั้น
-
K-SF-A: ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นทั้งในและต่างประเทศ สภาพคล่องสูง (แนะนำลงทุน 3 เดือนขึ้นไป)
- K-SFPLUS-A: ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นทั้งในและต่างประเทศ สภาพคล่องสูง (แนะนำลงทุน 6 เดือนขึ้นไป)
สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว
เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มผลตอบแทน และสามารถรับความผันผวนเพื่อโอกาสที่มากกว่า
-
K-FIXED-A: ลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาวในประเทศเท่านั้น Duration > 1 ปี (แนะนำลงทุน 1 ปีขึ้นไป)
-
K-FIXEDPLUS-A: ลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาวทั้งในและต่างประเทศ Duration > 1 ปี (แนะนำลงทุน 1 ปีขึ้นไป)