จากสถิติของ Morningstar ชี้ให้เห็นว่ามีเพียง 1/3 ของกองทุน Active ที่ชนะ Passive และแน่นอนว่าวันนี้ K WEALTH จะขอนำเสนอกองทุนที่ทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็คือ ES-USBLUECHIP

ES-USBLUECHIP กองทุนที่ S&P 500 และ Nasdaq ยังต้องยอมแพ้

จากสถิติของ Morningstar ชี้ให้เห็นว่ามีเพียง 1/3 ของกองทุน Active ที่ชนะ Passive และแน่นอนว่าวันนี้ K WEALTH จะขอนำเสนอกองทุนที่ทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็คือ ES-USBLUECHIP

กดฟัง
หยุด

กองทุน Active ไม่ได้แพ้กองทุน Passive เสมอไป

  • ​มีสถิติที่น่าสนใจจาก Morningstar ในครึ่งปีแรก 2025 มีเพียง 1/3 ของกองทุนหุ้น Active สหรัฐฯ ที่ชนะกองทุน Passive จึงไม่แปลกว่าใจว่าทำไมกระแสกองทุน Passive ที่อิงดัชนีหุ้นสหรัฐฯ อย่าง S&P 500 และ Nasdaq มาแรงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่วันนี้เราไม่ได้มาเพื่อเปลี่ยนใจนักลงทุนที่ลงทุนทั้ง 2 กองทุนนี้อยู่แล้วโดยเฉพาะนักลงทุนที่ทำการ DCA อย่างมีวินัย เราสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่ถ้ามีกองทุนที่ลงทุนล้อไปกับดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็น 1/3 ของกองทุนจากสถิติ Morningstar ข้างต้น แต่มีโอกาสทำได้ดีกว่าในระยะยาวล่ะ จะลองเพิ่มเข้าไปในพอร์ตสักหน่อยก็ไม่เสียหาย ซึ่งกองทุนนั้นคือ ES-USBLUECHIP
  • หากดูตารางที่ 1 จะเห็นว่าในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา กองทุน K-US500X-A(A) ซึ่งอิงกับดัชนี S&P 500 ทำผลตอบแทนได้ 12.91% ต่อปี ขณะที่กองทุน ES-USBL​UECHIP ทำผลตอบแทนได้ 18.81% ต่อปี หรือแม้แต่ในรอบ 3 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หุ้นฟื้นตัวหลังทรัมป์อ่อนข้อยอมกลับเข้าโต๊ะเจรจาเรื่องภาษี กองทุน ES-USBLUECHIP ก็ฟื้นตัวแรงกว่าเพื่อน นั่นก็เพราะกองทุนไม่เพียงลงหุ้นหลายตัวที่เหมือนกับใน S&P 500 แต่กองทุนลงในน้ำหนักที่สูงกว่า โดยน้ำหนักการลงทุนในหุ้น 10 ตัวแรกมากถึง 60% โดยโฟกัสที่ 5 อุตสาหกรรมหลักที่ทั้งพื้นฐานดีและอนาคตไกล (Technology, Consumer Discretionary, Communication services, Financials และ Healthcare) ดังภาพที่ 1

หลักการลงทุนของกองทุนหลัก ES-USBLUECHIP เป็นอย่างไร

  • เกาะไปกับดัชนีชี้วัด (S&P 500 หุ้นประมาณ 500 ตัว) แต่คัดเลือกหุ้นด้วยกระบวนการ Bottom-up ที่มีปัจจัยพื้นฐานโดดเด่น จากนั้นลงทุนแบบกระจุกตัว (75-125 ตัว)
  • ​บาลานซ์ระหว่างหุ้นใหญ่ที่กำไรมั่นคง สามารถคาดการณ์การเติบโตของบริษัทเหล่านี้ได้ และบริษัทที่เพิ่มความเสี่ยงสูงขึ้นแต่ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงขึ้น

ถึงตอนนี้นักลงทุนบางท่านคงถึงบางอ้อแล้วว่าทำไม ES-USBLUECHIP ถึงทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนี S&P 500 นั่นก็เพราะช่วง 3 ปีที่ผ่านมาหุ้นสหรัฐฯ ขึ้นกระจุกตัวเพียง 10 บริษัทแรกเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ใช่หุ้นอื่นใด หลายตัวก็โชว์อยู่ในตารางนั่นเอง





ภาพที่ 1 เปรียบเทียบน้ำหนักการลงทุนของกองทุนหลัก ES-USBLUECHIP และกองทุนดัชนี S&P 500* (ข้อมูล ณ 30 มิ.ย. 2568)

*กองทุน iShare Core S&P 500 ETF ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ K-US500X-A(A)

ที่มา T.Rowe Price, iShare by Blackrock


ทางเลือกลงทุนที่คุ้มค่าในช่วงเงินบาทแข็งค่า

  • ​ตอกย้ำความสำเร็จของกองทุน ES-USBLUECHIP ทางบลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) ได้นำเสนอกองทุน ES-USBLUECHIP-UH​ ซึ่งเป็น share class แบบไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนในเดือนที่แล้ว นักลงทุนสามารถซื้อกองทุนดังกล่าวบนแอปพลิเคชัน K PLUS ได้แล้ววันนี้ โดยไปที่เมนูค้นหากองทุนตามภาพด้านล่างได้เลย แม้ทาง K WEALTH CIO มีมุมมองเป็นกลางต่อหุ้นสหรัฐฯ จากปัจจัยกดดันระยะสั้นทั้ง valuation ที่เริ่มแพงและเศรษฐกิจมีแนวโน้มเริ่มอ่อนตัว แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตระยะกลางถึงยาวทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดี รวมถึงการเจรจาการค้าที่จบลงได้ดีกว่าที่คาด เราจึงแนะนำลงทุนใน ES-BLUECHIP หรือ ​ES-USBLUECHIP-UH​ แบบระยะยาว 5 ปีขึ้นไปและควรมีน้ำหนักไม่เกิน 20% ของพอร์ต
​ ​




ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมตามลิงก์นี้ได้เลย https://www.kasikornbank.com/th/personal/digital-banking/pages/kplus-investment.aspx


ขอขอบคุณข้อมูลจาก:

  • Morningstar
  • บลจ.กสิกรไทย
  • บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย)



คำเตือน

* โปรดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย)

ผลการดำเนินงานในอดีต/ ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

ผู้เขียน

K WEALTHสุกฤษฎิ์ กิตติธนโสภณ

Back to top