สหรัฐฯ และไทยบรรลุข้อตกลงการค้าทำให้อัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย ลดลงจาก 36% เหลือ 19% มีผลตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม 2025 ความเคลื่อนไหวนี้ช่วยลดแรงกดดันต่อผู้ส่งออกไทย แต่ภาษี 19% ยังสูงกว่าช่วงก่อนเกิดมาตรการและยังเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องติดตามต่อเนื่อง ทั้งด้านการค้า เศรษฐกิจมหภาค ค่าเงิน และทิศทางตลาดทุนไทยในระยะถัดไป
ที่มาของข้อตกลง: การเจรจาเชิงรุกเพื่อสมดุลทางการค้า
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นผลจากการเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และไทย ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างสมดุลทางการค้าและลดการพึ่งพาคู่ค้ารายใหญ่เพียงกลุ่มเดียวของสหรัฐฯ โดยสามารถสรุปข้อตกลงได้ดังนี้
- สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทของไทยลงเหลือ 19% ใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งสำคัญในภูมิภาคอย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ซึ่งภาษีนำเข้าอยู่ที่ราว 20% โดยเฉลี่ย เพื่อแลกกับการที่ไทยเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เช่น ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และเครื่องบินโบอิ้ง
- ลดภาษีนำเข้าสินค้าบางรายการเป็น 0%
ผลกระทบระยะสั้น: ผู้ส่งออกได้ประโยชน์
ในระยะสั้น การปรับลดภาษีครั้งนี้เป็นแรงกระตุ้นเชิงบวกอย่างชัดเจนสำหรับภาคส่งออกของไทย แม้ภาษี 19% จะยังสูงกว่าช่วงก่อนมีมาตรการกีดกันทางการค้า แต่ก็ดีกว่าเดิมอย่างมาก ทำให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์โดยตรง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางพารา ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักไปยังสหรัฐฯ ความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นนี้อาจส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในระยะสั้นจาก
กราฟ : ค่าเงินบาท/ดอลลาร์

ผลกระทบระยะกลาง-ยาว: โอกาสในการยกระดับขีดความสามารถการแข่งขัน
ในระยะกลางถึงยาว ประเทศไทยจะสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามที่มีอัตราภาษีใกล้เคียงกัน ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงก้าวแรกที่ช่วยให้เราอยู่ในสนามแข่งขันได้ แต่การจะชนะคู่แข่งในระยะยาวได้ ยังต้องอาศัยการยกระดับโครงสร้างการผลิต การวิจัยและพัฒนา รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงจากการเจรจาการค้ารอบใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาค: การเติบโตและการเงิน
หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย การปรับลดภาษีครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย โดยอาจทำให้การประมาณการ GDP ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ถูกปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ดุลการค้าของไทยกับสหรัฐฯ อาจดีขึ้น แต่ก็ต้องจับตาการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ที่จะเพิ่มขึ้นตามข้อตกลงด้วย
ในส่วนของ ตลาดการเงินและการลงทุน การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2025 ถือเป็นมาตรการเชิงรุกที่สอดคล้องกับการลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ การลดดอกเบี้ยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศและส่งเสริมการลงทุน ควบคู่ไปกับการเพิ่มโอกาสในการส่งออกที่ได้อานิสงส์จากการลดภาษีของสหรัฐฯ ปัจจัยบวกทั้งสองนี้อาจส่งผลให้ ตลาดหุ้นไทยน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มส่งออกที่มีสัดส่วนตลาดสหรัฐฯ สูง ซึ่งอาจทำให้มี Fund Flow ไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น
กราฟ : SET Index

สำหรับตลาดพันธบัตร การลดดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลให้ Bond Yield ปรับลดลงตามทิศทางดอกเบี้ย นักลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนส่วนเพิ่ม อาจมองหาโอกาสในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เช่น หุ้น เพื่อชดเชยกับผลตอบแทนจากพันธบัตรที่ลดลง
ปัจจัยเสี่ยงและคำแนะนำการลงทุน
แม้จะมีข่าวดี แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง เช่น
- การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก: หากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย ความต้องการสินค้าส่งออกอาจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- ความไม่แน่นอนทางการเมือง: เสถียรภาพทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อนโยบายเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
- การบังคับใช้กฎแหล่งกำเนิดสินค้าเข้มงวดขึ้น และการปราบปรามการสวมสิทธิ์การส่งออกผ่านประเทศที่สาม (Transshipment) ของสหรัฐฯ อาจเพิ่มต้นทุนการตรวจสอบและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของผู้ส่งออกไทย
คำแนะนำสำหรับนักลงทุน:
- การกระจายความเสี่ยง (Diversification): ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ทั้งหุ้นในประเทศ ต่างประเทศ และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ จะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการทำกำไรได้ดีกว่า แนะนำกระจายความเสี่ยงผ่านกองทุนผสมอย่าง K-WPBALANCED เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับผู้ที่สนใจสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ตในระยะยาว
- ตราสารหนี้ (Fixed Income): สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคง ควรเน้นลงทุนใน ตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดี โดยอาจเน้นลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ มีอายุเฉลี่ยของตราสาร (Duration) ในระดับปานกลางถึงยาว ผ่านกองทุนตราสารหนี้อย่าง K-FIXEDPLUS-A เพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการที่ธปท.อาจปรับลดดอกเบี้ยลงเพิ่มเติมได้ในช่วงที่เหลือของปี