บทความเกี่ยวกับมาตรการ ธปท. จำกัดวงเงินโอนออนไลน์ ผลกระทบต่อการเงิน การลงทุน การจ่ายค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ และแนวทางวางแผนรับมือ

เรื่องเงินไม่สะดุด แม้ถูกจำกัดวงเงินการโอน

บทความเกี่ยวกับมาตรการ ธปท. จำกัดวงเงินโอนออนไลน์ ผลกระทบต่อการเงิน การลงทุน การจ่ายค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ และแนวทางวางแผนรับมือ

กดฟัง
หยุด
  • ธปท. ประกาศมาตรการใหม่เพื่อป้องกันภัยทุจริตทางการเงิน โดยเริ่มจำกัดวงเงินโอนและจ่ายผ่านช่องทางดิจิทัลรายวัน วงเงินเริ่มต้นไม่เกิน 50,000 บาทสำหรับกลุ่มเปราะบาง มีผลบังคับใช้ภายในปี 2568
  • ​ ​ มาตรการนี้มีผลกระทบต่อกลุ่มที่ต้องโอนเงินก้อนใหญ่เพื่อการเงิน หรือการลงทุน รวมถึงผู้ที่ต้องชำระค่าใช้จ่ายสำคัญ
  • ​ ​ อย่าลืมรับมือวางแผนการเงินล่วงหน้า เพื่อไม่ให้เรื่องเงินสะดุด แม้ถูกจำกัดการโอน

ช่วงเดือนที่ผ่านมามีข่าวออกมาว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมจำกัดวงเงินโอนต่อวันเริ่มต้นไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน หลายคนอาจจะแพนิคและเกิดข้อสงสัยว่า “โดนทุกคนรึเปล่า แล้วนักลงทุนอย่างเรา ๆ จะได้รับผลกระทบอย่างไร?” K WEALTH จึงขอมาเล่าให้ฟัง


สรุปรายละเอียดมาตรการ

ต้องบอกว่าเรื่องการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน พูดเป็นภาษาง่ายๆ ก็คือจัดการพวกมิจฉาชีพ แกงค์คอลเซ็นเตอร์ เป็นสิ่งที่ทางธปท. และธนาคารพาณิชย์ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง เพราะตัวเลขความเสียหายยังอยู่ในระดับสูง



ที่มา: Central Fraud Registry


ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ธปท. ออกมายกระดับมาตรการเชิงป้องกัน โดยกำหนดวงเงินการโอน และชำระเงินต่อวันผ่านช่องทางดิจิทัลของลูกค้าบุคคลธรรมดาให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการทำธุรกรรมของลูกค้า (Customer Profiling) ซึ่งวงเงินเริ่มต้นไม่เกิน 50,000 บาทต่อวันที่ปรากฏในหน้าข่าว จะบังคับใช้กับกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นบัญชีม้า และกลุ่มเปราะบาง (เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และผู้สูงอายุ อายุมากกว่า 65 ปี) เป็นหลัก ถ้าเป็นลูกค้าเดิมก็จะมีการประเมินวงเงินจากข้อมูลที่มี ซึ่งถ้าประเมินแล้วได้วงเงินน้อยลง ลูกค้าสามารถยื่นข้อมูลเพิ่มหากอยากได้วงเงินเพิ่มขึ้นได้




ที่มา: BOT


วัตถุประสงค์คือเพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินการในการป้องกัน และจำกัดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนที่ถูกมิจฉาชีพหลอกโอนเงินได้ดียิ่งขึ้น โดยเป้าหมายหลักของมาตรการแบ่งออกเป็น 2 ข้อใหญ่ๆ ดังนี้


  1. กักเงินเพื่อกันการโกง: การทำแบบนี้จะทำให้มิจฉาชีพไม่สามารถโอนเงินที่อาจจะโกงมา ออกไปได้ในปริมาณมาก และรวดเร็ว ทำให้โอกาสในการป้องกันเงินที่ถูกหลอกไปมีมากขึ้น
  2. จำกัดความเสียหายหากถูกโกง: การทำแบบนี้ทำให้กลุ่มเป้าหมายหลักอย่างเด็ก และผู้สูงอายุ ไม่สูญเงินให้กับมิจฉาชีพทีเดียวทั้งหมด พอต้องโอนหลายๆ รอบ หลายๆวันเข้า ครอบครัวอาจสังเกตเห็น และช่วยเตือนได้ทัน

อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดให้ธนาคารต้องหาทางป้องกันไม่ให้ลูกค้าเดือดร้อนจากการจำกัดวงเงินโอน/จ่ายรายวัน เช่น ถ้าลูกค้าจำเป็นต้องโอนเงิน หรือจ่ายเงินด่วนเกินกว่าวงเงินที่ตั้งไว้ ธนาคารต้องมีวิธีช่วยเหลือหรือช่องทางให้ลูกค้าทำได้ และสุดท้าย มาตรการนี้จะเริ่มใช้กับ ลูกค้าใหม่ที่เพิ่งเปิด Mobile Banking หรือ Internet Banking ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2568 ก่อนจะขยายไปถึง ลูกค้าเดิมทุกคน ภายในสิ้นปี 2568


กระทบใครบ้าง?

มองเผินๆ เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องจำกัดวงเงินโอนต่อวันผ่าน Mobile Banking ปกติ และแม้ไม่ใช่ทุกคนที่จะถูกจำกัดวงเงินการโอนต่อวันไว้ที่ 50,000 บาท แต่จริงๆ แล้วมันกระทบกับเรื่องการเงินการลงทุนมากกว่าที่คิด จะขอแบ่งกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ดังนี้:

  1. ​กลุ่มที่มีแนวโน้มถูกจำกัดวงเงินไว้ที่ขั้นต่ำ เช่น ผู้ประกอบการรายย่อย

    เนื่องจาก ณ ปัจจุบัน ผู้ซื้อชำระเงินผ่านการสแกนจ่ายกันมากขึ้น ดังนั้น Mobile Banking เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การทำธุรกรรมโอนเงินจำนวนไม่มากหลายๆ ครั้ง และไม่ได้มีหลักฐานที่มาของรายได้แน่ชัดไว้ชี้แจงกับธนาคาร อาจทำให้ธนาคารมองว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง และจำกัดวงเงินไว้ที่ขั้นต่ำได้


    หากบางวันมีการโอนเงินเกี่ยวกับการค้าขายจนเกินวงเงิน ก็อาจทำให้ไม่สามารถโอนเงินในธุรกรรมปกติของตัวเองได้ และทำให้ขาดสภาพคล่อง หากใช้บัญชีค้าขายร่วมกับบัญชีส่วนตัว คำแนะนำคือแนะนำให้แยกบัญชีระหว่างบัญชีค้าขาย กับบัญชีส่วนตัวออกจากกัน โดยเปิดบัญชีเงินฝากง่ายๆ ผ่าน K PLUS ซึ่งการทำแบบนี้ไม่เพียงช่วยลดปัญหาเรื่องการโอน แต่ยังเป็นการช่วยจัดระเบียบเงินส่วนตัว และธุรกิจออกจากกัน เพื่อการบริหารเงินที่มีคุณภาพสูงสุด ธุรกิจเติบโตแค่ไหน กำไรมากน้อยก็ติดตามได้ชัด https://www.kasikornbank.com/th/personal/digital-banking/pages/k-esavings-account-opening-have-no-kplus.aspx


  2. กลุ่มคนทั่วไปที่แม้ไม่ถูกจำกัดวงเงินไว้ที่ขั้นต่ำ แต่ก็ถูกจำกัดวงเงิน:
    1. นักลงทุนรายย่อย การโอนเงินเข้า/ออก บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ (เช่น บัญชีหุ้น, กองทุน, DW, ETF) อาจทำได้ลำบากถ้าวงเงินจำกัด การซื้อกองทุนก้อนเดียว อาจติดเพดานทำให้ลงทุนไม่ได้ตามแผน

      คำแนะนำ: วางแผนกันเงินลงทุนไว้ล่วงหน้า โดยอาจเปลี่ยนจากโอนเงินก้อนใหญ่เข้าพอร์ต เป็นการทำ DCA ทยอยตัดเงินที่ต้องการลงทุน เข้าบัญชีลงทุนไว้ แทน เมื่อจังหวะลงทุนมา เราจะได้พร้อมทันที ไม่ต้องกังวลเรื่องการติดเงื่อนไขวงเงิน


    2. คนที่มีแผนทำการใหญ่: เช่น จ่ายค่าเทอมมหาวิทยาลัยในต่างประเทศให้ลูก จ่ายค่ารักษาพยาบาล ซื้อบ้าน ซื้อรถ การถูกจำกัดวงเงินทำให้ต้องไปจัดการเรื่องนี้ที่ธนาคาร ยิ่งถ้าไม่มีเวลาไปสาขา หรือเดินทางลำบาก สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องที่ต้องวางแผนให้รอบคอบ

      คำแนะนำ: หากต้องจ่ายค่าเทอมมหาวิทยาลัย อาจจะลองใช้เป็นวิธีการตัดผ่านบัตรเครดิต หรือใช้บริการโอนเงินผ่านพันธมิตร FinTech เช่น Wise หรือ Western Union ที่สามารถผูกบัญชีธนาคารหรือบัตรเดบิตได้ หรือถ้าเป็นกรณีจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าบ้าน ค่ารถในประเทศ อาจลองเปลี่ยนวิธีเป็นขอชำระเงินผ่านช่องทางอื่น เช่น Payment Gateway อย่าง K PLUS Payment จะเป็นฟังก์ชั่นชำระบิล แทนการโอน เป็นต้น


    3. คนที่ต้องลดหย่อนภาษี: ปกติแล้วเรามักจะซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีกันในช่วงใกล้ๆ สิ้นปี ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา การจะซื้อให้เต็มสิทธิ์ ก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก เช่น RMF ลงทุนได้สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท หรือไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี ดังนั้นถ้าสิ้นปีแพนิคว่าลืมลดหย่อนภาษี จะโอนเงินเข้าไปซื้อ 500,000 บาทเลยทันทีจะไม่สามารถทำได้แล้ว พอเป็นแบบนี้ก็อาจจะทำให้เสียสิทธิลดหย่อนภาษีไปอย่างน่าเจ็บใจ

      คำแนะนำ: ทาง K WEALTH อาจจะขอแก้ความเชื่อนี้ซักนิดว่า การลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี ไม่จำเป็นต้องทำทีเดียวตอนจะหมดปี สามารถทยอยทำได้เลยวันนี้ผ่านการทยอยลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA)ที่โดยปกติแล้วต้นทุนมักถูกกว่าเราลงทุนก้อนเดียวตอนปลายปีหากตลาดเป็นขาขึ้น ขอยกตัวอย่างสถานการณ์จริงในปี 2024 หากลงทุนในดัชนี S&P 500 ที่หากอิงจากสถิติในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เป็นขาขึ้นมากกว่าขาลง การ DCA จึงดูเหมาะมาก โดยขอคำนวณให้ดูแบบสรุปจากข้อมูลดัชนีจริงตามภาพด้านล่างได้ดังนี้

      ​​


      ที่มา: YCharts


      • ​หาก DCA 12 เดือน ต้นทุนเฉลี่ยจะอยู่ที่ดัชนีประมาณ 5,460.22 จุด
      • หากลงทุนก่อนเดียวตอนปลายปี ต้นทุนจะอยู่ที่ดัชนีประมาณ 5,881.63 จุด

      ดังนั้นจะเห็นว่า DCA ได้ต้นทุนที่ถูกกว่าประมาณ 7.2%


      โดยทาง K WEALTH List กองทุนลดหย่อนภาษีแนะนำให้นักลงทุนทยอย DCA ง่ายๆ สามารถคลิกตาม Link ด้านล่างได้เลย




สรุป

มาตรการจำกัดวงเงินโอนของ ธปท. หลายคนเห็นข่าวอาจจะตกใจ แต่จริง ๆ แล้วมีเป้าหมายเพื่อปกป้องประชาชนจากภัยมิจฉาชีพและจำกัดความเสียหายไม่ให้สูญเงินไปในคราวเดียว สำหรับนักลงทุนหรือผู้ที่มีการทำธุรกรรมก้อนใหญ่ อาจต้องปรับตัวโดยการวางแผนล่วงหน้าให้รอบคอบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแยกบัญชีการเงินส่วนตัวกับธุรกิจ การทยอยลงทุนผ่าน DCA แทนการโอนก้อนใหญ่ หรือการเผื่อเวลาไปทำธุรกรรมที่สาขาธนาคารหากเป็นรายการสำคัญ เมื่อเข้าใจมาตรการนี้ในมุมเชิงป้องกันและมีการเตรียมตัวที่ดี เราจะยังสามารถจัดการการเงินและการลงทุนของเราได้อย่างมั่นใจ


อย่างไรก็ตามมาตรการจำกัดวงเงินนี้แต่ละธนาคารยังไม่ได้ประกาศเงื่อนไขหรือวิธีการของปรับวงเงินออกมาชัดเจน ซึ่งธนาคารเองก็มีหน้าที่ต้องอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการอย่างเหมาะสมภายใต้มาตรการควบคุมความเสี่ยงดังกล่าว ผู้ลงทุนและผู้ใช้บริการก็อย่าเพิ่งวิตกจนเกินไป แนะนำให้รอประกาศจากธนาคารที่ใช้บริการ และนำแนวทางคำแนะนำจาก K WEALTH ในบทความนี้ ไปจัดการอย่างเหมาะสม หลังจากที่ทราบรายละเอียดแล้ว


ขอขอบคุณข้อมูลจาก: ธนาคารแห่งประเทศไทย, Central Fraud Registry