-
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้คุณแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีผลทันที โดยมีรองนายกฯ ภูมิธรรม เวชยชัย ทำหน้าที่รักษาการนายกฯ จนกว่าจะมีการเลือกผู้นำใหม่ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงทันทีจากความไม่แน่นอนทางการเมือง
-
ตลาดจับตา 3 ฉากทัศน์: (1) พรรคเดิมเสนอผู้นำใหม่ได้ เสถียรภาพกลับมาเร็ว (2) หากเปลี่ยนขั้ว/ตั้งรัฐบาลไม่ลงตัว นโยบายสะดุด (3) หากเกิดสุญญากาศ/ความขัดแย้งยืดเยื้อ ความเชื่อมั่น Fund Flow จะถูกกดดัน
-
K WEALTH แนะนำในช่วง 7–15 วันข้างหน้าที่การเมืองยังไม่ชัดเจน แนะนำกระจายการลงทุนออกนอกไทย เช่น อินเดีย เวียดนาม จีน และเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้ เพื่อบริหารความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง
ศาลวินิจฉัยให้คุณแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
วันที่ 29 ส.ค. 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ วินิจฉัยให้คุณแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีข้อกล่าวหาเรื่องการกระทำที่เข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ โดยมีผลทันที
- โดยก่อนหน้านี้ศาลได้มีคำสั่งให้คุณแพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2568
- รองนายกฯ ภูมิธรรม เวชยชัย รับหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี จนกว่าจะมีการเลือกผู้นำคนใหม่โดยสภาผู้แทนราษฎร
ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงทันทีในช่วงบ่าย สะท้อนแรงขายจากความไม่แน่นอนทางการเมืองระยะสั้น
3 Scenario ที่ตลาดต้องจับตา
Scenario 1: พรรคเดิมเสนอผู้นำใหม่ได้สำเร็จ (Base Case)
- ตลาดกลับสู่เสถียรภาพเร็ว หากไม่มีการเปลี่ยนขั้วหรือสะดุดนโยบายเดิม
- นโยบายเศรษฐกิจสำคัญ เช่น Digital Wallet และการออกพันธบัตรรัฐ ยังมีโอกาสเดินหน้าต่อ
Scenario 2: มีการเปลี่ยนขั้วหรือพรรคร่วมไม่ลงตัว
- เกิดความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
- ความต่อเนื่องของนโยบายอาจสะดุด ตลาดรอสัญญาณใหม่ทั้งนโยบายการคลัง–การเงิน
Scenario 3: เกิดสุญญากาศทางการเมือง/ความขัดแย้งยืดเยื้อ
- ส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่างชาติและ Fund Flow
- เงินบาทและตลาดการลงทุนอาจเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง
มุมมองและกลยุทธ์การลงทุน
- ทิศทางของตลาดการเงินไทยยังขึ้นอยู่กับการจัดตั้งรัฐบาลและความชัดเจนของผู้นำชุดใหม่
- ช่วง 7–15 วันข้างหน้า เป็นระยะเวลาสำคัญที่รัฐสภาจะเสนอชื่อและลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อ “เสถียรภาพทางนโยบาย” และ “ความเชื่อมั่นของนักลงทุน”
- แนะนำกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคอื่น เช่น อินเดีย เวียดนาม จีน หรือกระจายลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ตราสารหนี้ ในช่วงตลาดหุ้นไทยยังมีความไม่แน่นอน
คำแนะนำการลงทุน
-
สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นไทย
- หากมีสัดส่วนมากกว่า 20% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS
- หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% แนะนำถือเพื่อรอติดตามพัฒนาการในระยะสั้น
-
สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นไทย
- สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นไทย ยังไม่แนะนำให้ลงทุน
- เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WEALTHPLUS เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
- แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
- สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง100%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง มากกว่า 90%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- K-STAR-A, K-VALUE: ไม่มีการลงทุนในต่างประเทศ
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS: T+1
- K-FIXEDPLUS-A: T+2
- K-STAR-A, K-VALUE: T+3
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6