สถิติชี้ให้เห็นว่าค่าเงินบาทในรอบกว่า 20 ปีไม่ได้แข็งและไม่ได้อ่อนตลอดไป
- หากเรามาดูกราฟที่ 1 จะเห็นว่าในรอบกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งต่อเนื่องมีทั้งช่วงที่ Fed ผ่อนคลายนโยบายการเงิน ช่วงแรกหลังวิกฤตปี 2008 – 2013 ก่อน Fed ส่งสัญญาณว่าจะเริ่มถอนมาตรการ QE ขณะที่อีกช่วง 2016 – 2020 เป็นช่วงที่ Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ค่าเงินบาทกลับแข็งค่า ดังนั้นเราอาจจะคาดการณ์ค่าเงินบาทจากการโฟกัสที่นโยบายการเงินของ Fed เพียงอย่างเดียวไม่ได้
- ในทางกลับกันช่วงบาทอ่อนปี 2013 – 2015 เป็นช่วงที่บ้านเราเองเผชิญวิกฤตการเมืองก่อนมีรัฐประหารเกิดขึ้น นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในช่วงนั้น ขณะอีกช่วงคือนับแต่เกิดวิกฤต Covid-19 ทำให้ทุกประเทศต้อง Lockdown รวมถึงไทยที่พึ่งพาภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก ประกอบกับ Fed กลับมาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้เงินเฟ้อที่เกิดจากปัญหาด้านอุปทาน
- ดังนั้นจะเห็นว่าการอ่อนค่าหรือแข็งค่าของเงินบาทมีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้อง แต่อยู่ในกรอบประมาณ 28.5 ถึง 38.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ นับตั้งแต่เกิดวิกฤตปี 2008
สมมติว่านักลงทุนเริ่มลงทุนเมื่อปี 2008 จนถึงปัจจุบันแล้วป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน อาจจะเสียต้นทุนเหล่านั้นฟรีๆ เพราะเงินบาทกลับมายืนที่เดิมแถว ๆ ค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
กราฟที่ 1 การเคลื่อนไหวค่าเงินบาทนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจช่วงปี 2008
ที่มา Bloomberg ณ วันที่ 5 ก.ย. 2025
ลงทุน S&P 500 แบบ Unhedged ผลตอบแทนต่อปีแทบไม่ต่างจากดัชนี*
- หากเราดูภาพที่ 2 ดัชนี S&P 500 นับตั้งแต่เกิดวิกฤตปี 2008 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10.86% ขณะที่กองทุน ETF ในต่างประเทศที่อ้างอิงดัชนี S&P 500 เช่น iShares Core S&P 500 ทำผลตอบแทนได้เฉลี่ยปีละ 10.84% จากผลต่าง ค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าแปลงเป็นสกุลเงินบาทเสมือนว่าไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเลยจะพบว่าผลตอบแทนหายไปถึง 28% เห็นแบบนี้คำถามคือ ทำไม K WEALTH ถึงบอกว่าไม่ควร Hedge ล่ะ?
- ข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่าต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง Implied Forward Yield 3 เดือน พบว่าอยู่ที่ราวๆ 2% ต่อปี หากลงทุนประมาณ 17 ปี ตามภาพที่ 2 จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ประมาณ 34% ซึ่งมากกว่าการที่ผลตอบแทนหายไปจากที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเลย
*ผลตอบแทนในสกุลเงินบาทยังไม่รวมค่าธรรมเนียมการซื้อขาย การจัดการต่อปี และอื่นๆ
ภาพที่ 2 ผลตอบแทนย้อนหลังของดัชนี S&P 500, ETF ที่อิงดัชนี S&P 500 ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และเงินบาท
ที่มา Bloomberg ข้อมูลอ้างอิงวันที่ 1 ม.ค. 2008 ถึง 29 ส.ค. 2025
จะเลือก Unhedged หรือ Hedged ขึ้นอยู่กับความเชื่อ จังหวะเริ่มต้นลงทุน และระยะเวลาการลงทุน
- กลับไปที่กราฟที่ 1 หากนักลงทุนมีระยะเวลาลงทุนสัก 3 ปี เริ่มลงทุนสักปลายปี 2023 การเลือก Hedged อาจจะเหมาะสมเพราะค่าเงินบาทอ่อนค่าขึ้นมาแตะกรอบบนเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต แต่หากจะเริ่มลงทุนตอนนี้ ลงทุนแบบ Unhedged ก็ดูจะคุ้มกว่าจริงไหมครับ เพราะเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตแล้ว ล่าสุด ณ วันที่ 9 ก.ย. 2025 ค่าเงินบาทอยู่ที่
31.6 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เช่นเดียวกับนักลงทุนอีกท่านลงทุนได้ 10-20 ปี และจังหวะเริ่มลงทุนเงินบาทแข็งค่า การไม่ป้องกันความเสี่ยงเลยก็ยิ่งช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนมากขึ้น
- โดยสรุปแล้วอาจจะไม่มีคำตอบตายตัวว่านักลงทุนควรเลือกกองทุนแบบ Hedged หรือ Unhedged 3 สิ่งที่ K WEALTH แนะนำว่าควรนำมาพิจารณาคือ
1.ความเชื่อ หรือมุมมองว่าค่าเงินในระยะยาวจะกลับเข้าสู่จุดกึ่งกลาง (Mean reversion) แบบที่เกิดขึ้นในอดีตไหม ถ้าเชื่อแบบนั้นการไม่ป้องกันความเสี่ยง ก็จะดีกว่า
2.จังหวะการเริ่มลงทุน อย่างช่วงบาทแข็งแบบนี้ ลงทุนแบบ Unhedged ก็น่าจะดีกว่า
3.ระยะเวลาลงทุน หากลงทุนระยะสั้นมากๆ 1-3 ปี แนะนำว่าป้องกันความเสี่ยงไปเลยจะดีกว่า เพราะค่าเงินในระยะสั้นคาดการณ์ได้ยากมากๆ
ปัจจุบันบลจ. ในไทยมีกองทุนแบบไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนให้เลือกสรรมากมายในทุกประเภทสินทรัพย์ กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ เช่น K-GDBONDUH กองทุนหุ้นโลก เช่น K-GSELECTU-A(A) กองทุนหุ้นสหรัฐฯ เช่น ES-USBLUECHIP-UH และ K WEALTH ขอกระซิบว่าบลจ.กสิกรไทยกำลังจะเปิดขายกองทุน Passive ยอดนิยมของตลาดแบบไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน จะเป็นกองทุนอะไรรอติดตามกันเร็วๆนี้นะครับ
เริ่มต้นลงทุนวันนี้เลยไม่ยากแค่ย้ายเงินจากออมทรัพย์บนแอพ K PLUS ไปที่เมนูลงทุน

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมตามลิงก์นี้ได้เลยhttps://www.kasikornbank.com/th/personal/digital-banking/pages/kplus-investment.aspx
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: Bloomberg, บลจ.กสิกรไทย (KAsset)