กองทุน Healthcare กำลังกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง หลังเจอแรงกดดันทางการเมืองในช่วงต้นปี 2025 วันนี้ถือเป็นจังหวะสะสมระยะยาวเพราะ Valuation อยู่ในระดับต่ำสุดรอบเกือบ 30 ปี

กลุ่ม Healthcare: อยู่ในเส้นทางฟื้นตัวจากพายุการเมือง

กองทุน Healthcare กำลังกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง หลังเจอแรงกดดันทางการเมืองในช่วงต้นปี 2025 วันนี้ถือเป็นจังหวะสะสมระยะยาวเพราะ Valuation อยู่ในระดับต่ำสุดรอบเกือบ 30 ปี

กดฟัง
หยุด
  • Healthcare เป็นหนึ่งใน sector ที่เผชิญแรงกดดันจากการเมืองและนโยบายสหรัฐฯ มากที่สุดในรอบหลายสิบปี แต่ไม่ว่าจะถูก “ทดสอบ” กี่ครั้ง ทั้งความพยายามควบคุมราคายา การปฏิรูประบบประกันสุขภาพ หรือการลดงบประมาณสนับสนุนงานวิจัย ท้ายที่สุดกลุ่ม Healthcare ก็ยังฟื้นตัวได้เสมอ เพราะสิ่งที่ขับเคลื่อนจริง ๆ ไม่ใช่เพียงนโยบาย แต่คือ กำไรและความต้องการด้านการรักษาที่เติบโตต่อเนื่องในเชิงโครงสร้าง
  • ปัจจุบัน กลุ่ม Healthcare อาจดูเผชิญกับแรงกดดันหนักที่สุดครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะในสมัยรัฐบาล Trump 2 ที่เดินหน้าอย่างจริงจังในการควบคุมราคายาและปรับโครงสร้างหน่วยงานกำกับดูแล แต่หากมองในภาพใหญ่แล้ว สิ่งนี้กลับเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มองยาว เพราะ Valuation ของกลุ่ม Healthcare อยู่ในระดับ “ถูกที่สุดในรอบเกือบ 30 ปี” ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง

Healthcare vs การเมือง: เสียงดังแต่ชั่วคราว

ช่วงที่ผ่านมา กลุ่ม Healthcare มักตกเป็น “แพะรับบาป” ทางการเมือง เพราะสุขภาพเป็นเรื่องที่กระทบประชาชนทุกคน และมักถูกหยิบยกมาเป็นนโยบายหาเสียงหรือนโยบายประชานิยม แต่บทเรียนสำคัญคือ แม้จะถูกกดดันหนักในระยะสั้น แต่ระยะยาว ผลตอบแทนของกลุ่ม Healthcare ก็ฟื้นกลับมาได้เสมอ

  • ยุค Obama (2009–2016): ACA หรือ Obamacare สร้างความกังวลว่าระบบโรงพยาบาลและบริษัทประกันจะขาดทุน นักลงทุนเทขายหุ้นช่วงแรก แต่เมื่อระบบเริ่มทำงานจริง คนเข้าถึงประกันมากขึ้น ส่งผลให้รายได้ของโรงพยาบาลและผู้ให้บริการประกันสุขภาพเติบโต
  • ยุค Trump 1 (2017–2020): พูดเรื่องลดราคายาแทบทุกเดือน ทำให้ตลาดผันผวน แต่ไม่สามารถผ่านกฎหมายจริงที่มีผลยาวนานได้ ในทางกลับกัน FDA กลับอนุมัติยาเร็วขึ้น โดยเฉพาะยาสำหรับโรคหายากและ generic → Biotech boom เกิดขึ้น
  • ยุค Biden (2021–2024): ผ่านกฎหมาย IRA ที่เปิดให้ Medicare ต่อรองราคายาได้ แต่ผลจริงยังไม่เกิดจนถึงปี 2026 ในระหว่างนั้นรัฐบาลกลับสนับสนุน innovation เต็มที่ เช่น mRNA, Cancer Moonshot, AI drug discovery

Source: KWEALTH, Bloomberg as of 18 Aug 2025

สรุป: การเมือง “เสียงดัง” และมีผลกระทบกับกลุ่ม Healthcare เสมอ แต่ในเชิงโครงสร้างไม่สามารถหยุดยั้งความต้องการและการสร้างกำไรของ sector ได้ สังเกตได้จากกราฟข้างต้นซึ่งเป็นกราฟแสดงผลตอบแทนของกลุ่ม Global Healthcare ในสมัยต่าง ๆ ของปธน. สหรัฐฯ ซึ่งมักจะมีความผันผวนในช่วงต้น แต่ในระยะยาวก็สามารถสร้างผลตอบแทนเป็นบวกได้ทุกครั้ง


Trump 2: กดดันหนักที่สุดในรอบหลายสิบปี

รอบนี้นักลงทุนรู้สึกว่า “ไม่ใช่แค่เสียงดัง แต่เป็นของจริง” เพราะรัฐบาล Trump 2 ดำเนินการหลายด้านพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น:

  1. Drug Pricing (MFN Executive Order): บังคับให้ Medicare ซื้อยาที่อ้างอิงจากราคาต่ำสุดในกลุ่ม OECD → Big Pharma สูญเสีย pricing power อย่างมาก โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ ที่เคยเป็นแหล่งกำไรหลัก
  2. Tariff Risks: ขู่ขึ้นภาษีนำเข้ายาและอุปกรณ์การแพทย์จากจีน อินเดีย และยุโรป สูงสุดถึง 200% → ความเสี่ยง supply chain disruption และต้นทุนพุ่ง
  3. FDA Restructuring: เปลี่ยนโครงสร้างผู้นำ โดยเฉพาะในฝ่ายชีววัตถุ (CBER) → approval rate ลดลง นักลงทุน discount pipeline Biotech
  4. การเมืองเชิงบุคคล: แต่งตั้ง RFK Jr. ผู้ที่มีจุดยืนต่อต้านวัคซีนเข้าไปดูแล HHS → ทำให้ sentiment ต่อ vaccine และ mRNA companies แย่ลงทันที
  5. Big Beautiful Bill: เตรียมรื้อ ACA อีกครั้ง เพื่อสร้างระบบใหม่ ความไม่แน่นอนทางกฎหมายสูง นักลงทุน discount หุ้น hospital และ insurer ทันที

ทั้งหมดนี้ทำให้ กลุ่ม Healthcare เป็น sector ที่ underperform หนักสุดในตลาดโลกช่วงต้นปี แต่หากมองในเชิงกลยุทธ์แล้ว นี่คือ “แรงขายที่เกินจริง” และสร้างโอกาสเข้าลงทุนระยะยาว


เหตุผลเชิงโครงสร้างที่ทำให้ Healthcare น่าสะสม

แม้จะมี policy noise แต่ Healthcare มีปัจจัยหนุนระยะยาวที่แข็งแรงจนไม่สามารถมองข้ามได้

  1. Aging Population: โลกกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุใช้จ่ายสุขภาพมากกว่าคนหนุ่มสาว 3–5 เท่า → demand ระยะยาว
  2. Innovation Supercycle:
    • Obesity drugs (GLP-1) เปลี่ยน landscape การรักษาโรคอ้วนและ metabolic disease
    • AI diagnostics เพิ่มความแม่นยำและลดต้นทุนการตรวจรักษา
    • Cell & Gene Therapy เริ่ม commercialize → เปิดตลาดใหม่มหาศาล
    • Cancer therapies รุ่นใหม่ เช่น multi-specific antibodies, next-gen CAR-T → ขยายตลาดการรักษามะเร็ง
  3. Earnings Resilience: กลุ่ม Healthcare มีกำไรที่ยืดหยุ่น แม้เศรษฐกิจถดถอย เพราะการรักษาพยาบาลเป็นสิ่งจำเป็น (non-discretionary)
  4. Valuation Attractive: วันนี้ P/E และ P/B ของ Healthcare Global ใกล้จุดต่ำสุดในรอบเกือบ 30 ปี

    Source: JPMAM as of 29 July 2025

  5. Fed Policy Tailwind: หาก Fed เข้าสู่วัฎจักรลดดอกเบี้ยในปี 2025–26 จะช่วยลดต้นทุน กระตุ้นให้เกิดการควบรวมกิจการ (M&A) ในกลุ่ม Biotech และ MedTech

    Source: JPMAM as of 18 Aug 2025


ทำไมควรลงทุนผ่านกองทุน Healthcare

การลงทุนหุ้น Healthcare รายตัวในช่วงที่ตลาดยังผันผวนสูงอาจมีความเสี่ยง การลงทุนผ่านกองทุนคือวิธีการที่มีประสิทธิภาพกว่า เพราะมีการกระจายความเสี่ยงทั้งในหุ้น Defensive และ Growth


K-GHEALTH (กองทุนหลัก JPMorgan Global Healthcare Fund)

  • Core Defensive Growth: ลงทุนในทุก Subsector (Pharma, Biotech, MedTech, Services) กระจายพอร์ต 50–90 หุ้น เลือกเฉพาะ “Healthcare Leaders” ที่มีโมเดลธุรกิจแข็งแรง เช่น AstraZeneca, AbbVie, Boston Scientific เหมาะกับการเป็นแกนกลาง (Core Allocation) ของธีม Healthcare
  • จุดแข็งหลักคือความเสถียร: ทีมผู้จัดการกองทุน JPMorgan Healthcare Specialist (ประสบการณ์เฉลี่ย 22 ปี) เน้นลดความผันผวน ทน policy noise ได้ดี Beta ~1.0, tracking error ต่ำ ทำให้กองนี้ทำหน้าที่กันชนได้ในภาวะตลาดผันผวน
  • Upside อาจไม่หวือหวา แต่มั่นคง: เน้นหุ้นใหญ่ กำไรสม่ำเสมอ จึงอาจ underperform เมื่อ Biotech rally แรง แต่ช่วยรักษาสมดุลในพอร์ตนักลงทุนที่ต้องการ exposure Healthcare แบบมั่นคง

KT-HEALTHCARE (กองทุนหลัก Janus Henderson Global Life Sciences Fund)

  • Growth Booster: เน้น Biotech, MedTech และ Life Sciences innovation ลงทุน 80–120 หุ้นทั่วโลก ทีมบริหารมีผู้เชี่ยวชาญ PhD/MD ที่วิเคราะห์ clinical trial และ drug pipeline ลึกกว่าคู่แข่ง ช่วยคัดหุ้นที่มีโอกาส commercialize ได้จริง
  • Upside สูงเมื่อ innovation cycle ฟื้น: เน้น emerging growth เช่น obesity drugs, oncology, AI diagnostics และ cell/gene therapy เมื่อ Fed ลดดอกเบี้ยและ funding/M&A กลับมา กองนี้จะได้ประโยชน์โดยตรง ทำให้มีโอกาส outperform สูง
  • ผันผวนมากกว่า แต่มีโอกาสเติบโตระยะยาวที่สูงกว่า: Exposure กับ Biotech/innovation สูง ทำให้ sensitive ต่อ policy และ FDA approval แต่มี track record outperform MSCI World Healthcare ~81% ของ rolling 5Y periods

ทั้งสองกองทุนมีจุดร่วมคือการเข้าถึง Healthcare Global Leaders และ thematic innovation โดยไม่ต้องเลือกหุ้นรายตัวเอง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยง policy noise ระยะสั้น และเปิดรับ upside ในระยะยาว


สรุป: จาก Fear วันนี้ สู่ Opportunity พรุ่งนี้

Healthcare กำลังอยู่ในช่วงที่ sentiment แย่ที่สุดในรอบหลายปี การเมืองสหรัฐฯ โดยเฉพาะ Trump 2 ทำให้ตลาดกังวลมากกว่าความจริง แต่หากมองในเชิงโครงสร้าง Healthcare ยังมีปัจจัยหนุนที่แข็งแรง ทั้งประชากรสูงวัย นวัตกรรมการรักษา กำไรที่ยืดหยุ่น และ valuation ที่ถูกมาก


Key Takeaway: Healthcare 2025 ไม่ได้เป็นเพียง sector defensive ที่ช่วยประคองพอร์ต แต่คือ sector ที่มีศักยภาพสร้างผลตอบแทนสูงในระยะยาว นักลงทุนที่มองข้าม noise วันนี้ จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในอนาคต






ผู้เขียน

K WEALTHธนธัช เอนกลาภากิจ

Back to top