-
นักลงทุนจำนวนมากเริ่มรู้สึกว่าราคาทองคำพุ่งขึ้น “เร็วเกินไป” จึงเกิดการเทขายอย่างรวดเร็ว จนกระทบต่อ Sentiment ของตลาดโดยรวม และกระตุ้นให้เกิดแรงขายแบบ “Domino” ตามมา
- K WEALTH สรุปมาแล้ว มุมมองการลงทุน พร้อมคำแนะนำสำหรับ นักลงทุนที่ถือกองทุนทองคำอยู่แล้ว และ นักลงทุนที่ยังไม่มีกองทุนทองคำ
ราคาทองคำเผชิญกับแรงขายอย่างรุนแรงติดต่อกันเป็นวันที่สอง สะท้อนภาวะการขายทำกำไรของนักลงทุน หลังจากราคาทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยราคาทองคำ Spot ร่วงลงมากสุดถึง 2.9% ลงมาแตะระดับต่ำสุดที่บริเวณ $4,004.26 ต่อออนซ์ หลังจากวันก่อนหน้านี้ดิ่งลงมากถึง 6.3% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 12 ปี
แรงกดดันเกิดขึ้นจากการที่นักลงทุนจำนวนมากเริ่มรู้สึกว่าราคาทองคำพุ่งขึ้น “เร็วเกินไป” ทำให้นักลงทุนมองว่าราคาทองคำอยู่ในช่วง Overbought อีกทั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์และผู้จัดการกองทุนที่มีสถานะ Long ทองคำในต้นทุนต่ำ มองเห็นโอกาสในการขายทำกำไรที่ระดับราคานี้ จึงเกิดการเทขายอย่างรวดเร็ว จนกระทบต่อ Sentiment ของตลาดโดยรวม และกระตุ้นให้เกิดแรงขายแบบ “Domino” ตามมา
Market Indices (ข้อมูล ณ วันที่ 22/10/2025)
- Gold $4,109 (-0.30%)
- Silver $48.89 (+0.36%)
มุมมองตลาด (ข้อมูล ณ วันที่ 22/10/2025)
K WEALTH ประเมินว่าในระยะข้างหน้า ราคาทองคำมีแนวโน้มผันผวนสูงจากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนที่กังวลว่าราคาจะปรับลงต่อ โดยเฉพาะหลังจากที่ปัจจัยบวกต่าง ๆ เช่น ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงแนวโน้มการลดดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง ได้ Price in ไปในราคาทองคำก่อนหน้านี้ค่อนข้างมากแล้ว
- สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนทองคำอยู่แล้ว แนะนำให้ทยอยขายทำกำไรในจังหวะที่ราคาฟื้นตัว
- ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีกองทุนทองคำ แนะนำให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หรือเลือกลงทุนในกองแนะนำอื่น
ประเภทนักลงทุน
|
มุมมองการลงทุน
|
กองทุนแนะนำ
|
2.1 ) ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง
| สามารถทยอยเข้าลงทุนในกองทุนแนะนำที่มีศักยภาพเติบโตระยะยาว
| -ประเทศเศรษฐกิจขยายตัวสูงอย่างอินเดียผ่านกองทุน K-INDIA และประเทศจีนผ่านกองทุน K-CHINA
-กลุ่ม Defensive ไม่ว่าจะเป็น Global Healthcare ผ่านกองทุน KT-HEALTHCARE หรือ K-GHEALTH หรือกลุ่ม Global Infrastructure ผ่านกองทุน K-GINFRA
|
2.2) ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงต่ำ
| แนะนำทยอยเข้าลงทุนในกองทุนผสมที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
| K WealthPLUS Series
|
2.3) ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ
| แนะนำลงทุนในกองทุนตลาดเงินหรือตราสารหนี้ระยะสั้น
| K-SFPLUS-A
|
2.4) นักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นสัดส่วนเกิน 20% หรือมีกำไรมากกว่า 10%
| แนะนำ ทยอยขายทำกำไรบางส่วน (Take Profit) เพื่อล็อกผลตอบแทนและปรับพอร์ตให้สมดุล
| |