-
เศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง: ความเสี่ยง Stagflation ที่กลับมา
ตลาดแรงงานที่อ่อนแรงลง
Source: Bloomberg, K WEALTH As of 6 Sep 2025
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 6 ก.ย. 68 ชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งสัญญาณที่อ่อนแอลง จากตัวเลข Non-Farm Payroll ที่ออกมาต่ำกว่าที่คาดมาก รวมถึงอัตราการว่างงานพุ่งขึ้นสู่ 4.3% ความเปราะบางของตลาดแรงงานกำลังค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อของภาคครัวเรือน และบั่นทอนการบริโภคที่เป็นเครื่องจักรสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา
เงินเฟ้อที่ยังคงอยู่สูง
Source: Bloomberg, K WEALTH As of 6 Sep 2025
ในขณะที่ตลาดแรงงานอ่อนแอ ปัญหาที่สวนทางกันคือเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะ เงินเฟ้อภาคบริการ ซึ่งมีความเหนียวแน่น (Sticky) และปรับลดลงช้า แม้สินค้าบางประเภทจะเริ่มเห็นราคาลดลง แต่ค่าใช้จ่ายด้านบริการ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าแรงงานบริการ และต้นทุนโลจิสติกส์ กลับยังคงอยู่ในระดับสูง
ภาพของ Stagflation เริ่มชัดเจนขึ้น
แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง ขณะที่เงินเฟ้อกลับยังคงสูงคือภาวะที่เรียกว่า Stagflation ภาวะที่สร้างความกังวลแก่นักลงทุนมากที่สุด เพราะไม่เพียงกระทบต่อผลประกอบการบริษัท แต่ยังทำให้การลงทุนในตราสารหนี้และหุ้นเผชิญแรงกดดันพร้อมกัน ในอดีต เช่น ช่วงทศวรรษ 1970 ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ราคาพุ่งแรงที่สุดท่ามกลาง Stagflation และปีนี้ก็สะท้อนภาพนั้นอีกครั้ง
-
วัฏจักรการลดดอกเบี้ย: Bond Yield ลง ต้นทุนโอกาสของทองคำต่ำลง
การกลับทิศของธนาคารกลางสหรัฐฯ
Source: Bloomberg, K WEALTH As of 6 Sep 2025
หลังจากใช้เวลาหลายปีขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้เงินเฟ้อ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มหันกลับมาสู่โหมด ลดดอกเบี้ย โดยเฉพาะหลังการประชุมที่ Jackson Hole โดยตลาดประเมินว่ามีโอกาสสูงที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยในระยะข้างหน้านี้
ผลกระทบต่อตลาดพันธบัตร
- พันธบัตรอายุสั้น: Yield ลดลงแรงจากความคาดหวังการผ่อนคลายนโยบาย
- พันธบัตรอายุยาว: ยังคงสูงเพราะความกังวลเงินเฟ้อในอนาคต เส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) จึงเริ่มชันขึ้น (Steepen)
ผลตอบแทนที่แท้จริงลดลง = ทองคำได้เปรียบ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตลาดกำลังเห็น Real Yield หรือผลตอบแทนพันธบัตรหลังหักเงินเฟ้อปรับลดลง เมื่อ Real Yield ติดลบหรือต่ำลงเรื่อย ๆ ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ขึ้นกับแนวโน้มดอกเบี้ยมีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะต้นทุนโอกาสของการถือทองคำมีความคุ้มค่ามากขึ้น
-
Tariffs และนโยบายเศรษฐกิจ: ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่
ภาษีนำเข้า: ดาบสองคมที่กดดันเศรษฐกิจโลก
มาตรการภาษีศุลกากร (Tariffs) ของสหรัฐฯ ที่ใช้ตอบโต้หลายประเทศกำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจโลก แม้จะมีการเจรจาปรับลดอัตราภาษีลงมาบ้าง แต่ระดับปัจจุบันก็ยังสูงกว่าช่วงก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ในระยะสั้น Tariffs ผลักดันต้นทุนสินค้านำเข้าให้สูงขึ้นและเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อ ขณะที่ในระยะกลางถึงยาวกลับกลายเป็นปัจจัยถ่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจต้องเผชิญภาระต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Policy Uncertainty: ความเสี่ยงจากการบริหารเศรษฐกิจ
นอกจาก Tariffs แล้ว ตลาดยังเผชิญความไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลและธนาคารกลาง ไม่ว่าจะเป็น
- ความกังวลเรื่อง Fed Independence ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะถูกกดดันทางการเมืองหรือไม่
- ปัญหางบประมาณในยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศสที่เผชิญความเสี่ยงการเมืองภายในประเทศ
- ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างจากหนี้สาธารณะสหรัฐฯ ที่สูงเป็นประวัติการณ์
เมื่อรวมกัน ปัจจัยเหล่านี้สร้าง Policy Risk ที่นักลงทุนไม่สามารถคาดเดาได้ และทองคำจึงกลายเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (Hedge) ที่ดีที่สุด
-
ความต้องการทองคำ: จากธนาคารกลางสู่ ETF และนักลงทุนสถาบัน
ธนาคารกลาง: ยังคงสะสมทองไม่หยุดแม้ชะลอตามฤดูกาล
ข้อมูลชี้ว่าในช่วงกลางปี การซื้อทองของธนาคารกลางชะลอลงตามฤดูกาล แต่แนวโน้มระยะยาวยังแข็งแกร่ง งานสำรวจล่าสุดระบุว่า 95% ของธนาคารกลางคาดว่าจะเพิ่มการถือครองทองใน 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งสูงที่สุดตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูล
ETF: นักลงทุนตะวันตกเป็นผู้เล่นหลักในรอบนี้
เดือนสิงหาคมมีกระแสเงินไหลเข้า ETF ทองคำกว่า US$5.5 พันล้าน (ราว 53 ตัน) โดยส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนสหรัฐและยุโรป การกลับมาของฝั่งตะวันตกจึงเป็น “ตัวต่อ” ที่ทำให้รอบนี้ราคาทองอยู่บนฐานที่แข็งแรง
ตลาดฟิวเจอร์ส: การกลับมาของแรงเก็งกำไร
ในตลาด COMEX แม้กลุ่ม Fast Money จะยังระมัดระวัง แต่เมื่อราคายืนเหนือระดับ US$3,400 ได้อย่างมั่นคง นักลงทุนเก็งกำไรก็เริ่มกลับเข้ามาเพิ่มสถานะ Long ทำให้ตลาดมีทั้งแรงซื้อเชิงโครงสร้างและแรงเก็งกำไรหนุนพร้อมกัน
-
ปัจจัยเชิงโครงสร้าง: ทองในโลกที่เสถียรภาพสั่นคลอน
Geopolitics และบทเรียนจากรัสเซีย
การแช่แข็งสินทรัพย์สำรองของรัสเซียในปี 2022 ทำให้ธนาคารกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะในเอเชีย ตระหนักว่าการถือครองดอลลาร์หรือพันธบัตรสหรัฐฯ ไม่ปลอดภัยเหมือนในอดีต ทองคำจึงถูกสะสมอย่างต่อเนื่องในฐานะ สินทรัพย์ที่ไม่ขึ้นกับการเมืองของประเทศใดประเทศหนึ่ง
หนี้สาธารณะสหรัฐฯ และเสถียรภาพการคลัง
การขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูง ทำให้ความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของพันธบัตรสหรัฐฯ ถูกสั่นคลอน นักลงทุนจำนวนมากมองว่าทองคือเครื่องมือกระจายความเสี่ยงในระยะยาว
Demand Composition ที่เปลี่ยนไป
ในอดีต ทองคำพึ่งพาความต้องการจากเครื่องประดับและเก็งกำไร แต่ปัจจุบัน Investment Demand กลายเป็นเสาหลัก ทั้งจากธนาคารกลาง กองทุน ETF และนักลงทุนสถาบัน ความต้องการลักษณะนี้สร้างฐานราคาที่มั่นคงและยั่งยืนกว่ารอบก่อน ๆ
มุมมองการลงทุนทองคำในระยะข้างหน้า
Source: World Gold Council As of 6 Sep 2025
ทองคำในระยะข้างหน้ายังถูกมองเป็นสินทรัพย์ที่ควรถือเพื่อลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน แต่ไม่ควรจัดสัดส่วนมากเกินไป มุมมองโดยรวมของ K WEALTH CIO ยังเป็น Neutral เพราะราคาปรับขึ้นแรงจนใกล้ระดับสูงสุดใหม่ นักลงทุนที่ได้กำไรควรทยอย Take Profit เพื่อรักษาผลตอบแทน ขณะที่การถือทองบางส่วนยังมีประโยชน์ในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงเศรษฐกิจที่อาจเข้าสู่ภาวะ Stagflation วัฏจักรการลด
ดอกเบี้ยที่กด Real Yield ลง ความไม่แน่นอนจากภาษีการค้า และความต้องการเชิงโครงสร้างจากธนาคารกลางและ ETF
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดที่นักลงทุนต้องระวัง หากเงินเฟ้อลดลงเร็วและเศรษฐกิจโลกฟื้นเร็วกว่าคาด ทองคำอาจถูกขายทำกำไร อีกทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่ยังสูงอาจกดดัน Upside ของราคา รวมถึงความคาดหวังการเจรจาสันติภาพรัสเซีย–ยูเครนที่อาจทำให้ราคาผันผวนในช่วงสั้นได้เช่นเดียวกัน