วิเคราะห์ครบทั้งปัจจัยหนุนและข้อควรระวัง ทองคำยังไปต่อได้แค่ไหน

เกิดอะไรขึ้น ทำไมราคาทองคำพุ่งแรง ?

วิเคราะห์ครบทั้งปัจจัยหนุนและข้อควรระวัง ทองคำยังไปต่อได้แค่ไหน

กดฟัง
หยุด
  • ปี 2025 คืออีกหนึ่งปีที่ประวัติศาสตร์ของทองคำถูกเขียนขึ้นใหม่ หลังราคาทองทะยานขึ้นแตะใกล้ระดับ US$3,539/oz ในช่วงต้นเดือนกันยายน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 31% ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งนับเป็นการปรับตัวแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายสิบปี ทองคำได้เปลี่ยนบทบาทจากสินทรัพย์ที่นักลงทุนถือเพียงเพื่อ “ประกันความเสี่ยง” ไปสู่ สินทรัพย์ยุทธศาสตร์ ที่ทุกพอร์ตลงทุนแทบขาดไม่ได้
  • การปรับขึ้นนี้ไม่ใช่แค่แรงเก็งกำไรระยะสั้น หากแต่เป็นผลรวมจากปัจจัยมหภาค ความเสี่ยงด้านนโยบาย และความต้องการเชิงโครงสร้างที่สะสมมายาวนาน ทั้งการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก การเข้าสู่รอบการลดดอกเบี้ยที่กดดัน Bond Yield ความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีนำเข้าของทรัมป์ การเมืองโลกที่ยังมีความผันผวน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงรูปแบบความต้องการทองคำของนักลงทุนสถาบัน กองทุน ETF และธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ
  • ทองคำจึงกลายเป็น กระจกสะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจและการเงินโลก และเป็นเครื่องมือที่นักลงทุนเลือกใช้เพื่อปกป้องมูลค่าของความมั่งคั่งในช่วงที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

ปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อทองคำในช่วงที่ผ่านมา

  1. เศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง: ความเสี่ยง Stagflation ที่กลับมา

    ตลาดแรงงานที่อ่อนแรงลง

    Source: Bloomberg, K WEALTH As of 6 Sep 2025


    ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 6 ก.ย. 68 ชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งสัญญาณที่อ่อนแอลง จากตัวเลข Non-Farm Payroll ที่ออกมาต่ำกว่าที่คาดมาก รวมถึงอัตราการว่างงานพุ่งขึ้นสู่ 4.3% ความเปราะบางของตลาดแรงงานกำลังค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อของภาคครัวเรือน และบั่นทอนการบริโภคที่เป็นเครื่องจักรสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา


    เงินเฟ้อที่ยังคงอยู่สูง

    Source: Bloomberg, K WEALTH As of 6 Sep 2025


    ในขณะที่ตลาดแรงงานอ่อนแอ ปัญหาที่สวนทางกันคือเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะ เงินเฟ้อภาคบริการ ซึ่งมีความเหนียวแน่น (Sticky) และปรับลดลงช้า แม้สินค้าบางประเภทจะเริ่มเห็นราคาลดลง แต่ค่าใช้จ่ายด้านบริการ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าแรงงานบริการ และต้นทุนโลจิสติกส์ กลับยังคงอยู่ในระดับสูง


    ภาพของ Stagflation เริ่มชัดเจนขึ้น

    แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง ขณะที่เงินเฟ้อกลับยังคงสูงคือภาวะที่เรียกว่า Stagflation ภาวะที่สร้างความกังวลแก่นักลงทุนมากที่สุด เพราะไม่เพียงกระทบต่อผลประกอบการบริษัท แต่ยังทำให้การลงทุนในตราสารหนี้และหุ้นเผชิญแรงกดดันพร้อมกัน ในอดีต เช่น ช่วงทศวรรษ 1970 ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ราคาพุ่งแรงที่สุดท่ามกลาง Stagflation และปีนี้ก็สะท้อนภาพนั้นอีกครั้ง


  2. วัฏจักรการลดดอกเบี้ย: Bond Yield ลง ต้นทุนโอกาสของทองคำต่ำลง

    การกลับทิศของธนาคารกลางสหรัฐฯ

    Source: Bloomberg, K WEALTH As of 6 Sep 2025


    หลังจากใช้เวลาหลายปีขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้เงินเฟ้อ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มหันกลับมาสู่โหมด ลดดอกเบี้ย โดยเฉพาะหลังการประชุมที่ Jackson Hole โดยตลาดประเมินว่ามีโอกาสสูงที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยในระยะข้างหน้านี้


    ผลกระทบต่อตลาดพันธบัตร

    • พันธบัตรอายุสั้น: Yield ลดลงแรงจากความคาดหวังการผ่อนคลายนโยบาย
    • พันธบัตรอายุยาว: ยังคงสูงเพราะความกังวลเงินเฟ้อในอนาคต เส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) จึงเริ่มชันขึ้น (Steepen)

    ผลตอบแทนที่แท้จริงลดลง = ทองคำได้เปรียบ

    สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตลาดกำลังเห็น Real Yield หรือผลตอบแทนพันธบัตรหลังหักเงินเฟ้อปรับลดลง เมื่อ Real Yield ติดลบหรือต่ำลงเรื่อย ๆ ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ขึ้นกับแนวโน้มดอกเบี้ยมีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะต้นทุนโอกาสของการถือทองคำมีความคุ้มค่ามากขึ้น


  3. Tariffs และนโยบายเศรษฐกิจ: ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่

    ภาษีนำเข้า: ดาบสองคมที่กดดันเศรษฐกิจโลก


    มาตรการภาษีศุลกากร (Tariffs) ของสหรัฐฯ ที่ใช้ตอบโต้หลายประเทศกำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจโลก แม้จะมีการเจรจาปรับลดอัตราภาษีลงมาบ้าง แต่ระดับปัจจุบันก็ยังสูงกว่าช่วงก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ในระยะสั้น Tariffs ผลักดันต้นทุนสินค้านำเข้าให้สูงขึ้นและเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อ ขณะที่ในระยะกลางถึงยาวกลับกลายเป็นปัจจัยถ่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจต้องเผชิญภาระต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง


    Policy Uncertainty: ความเสี่ยงจากการบริหารเศรษฐกิจ

    นอกจาก Tariffs แล้ว ตลาดยังเผชิญความไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลและธนาคารกลาง ไม่ว่าจะเป็น

    • ความกังวลเรื่อง Fed Independence ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะถูกกดดันทางการเมืองหรือไม่
    • ปัญหางบประมาณในยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศสที่เผชิญความเสี่ยงการเมืองภายในประเทศ
    • ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างจากหนี้สาธารณะสหรัฐฯ ที่สูงเป็นประวัติการณ์

    เมื่อรวมกัน ปัจจัยเหล่านี้สร้าง Policy Risk ที่นักลงทุนไม่สามารถคาดเดาได้ และทองคำจึงกลายเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (Hedge) ที่ดีที่สุด


  4. ความต้องการทองคำ: จากธนาคารกลางสู่ ETF และนักลงทุนสถาบัน

    ธนาคารกลาง: ยังคงสะสมทองไม่หยุดแม้ชะลอตามฤดูกาล

    ข้อมูลชี้ว่าในช่วงกลางปี การซื้อทองของธนาคารกลางชะลอลงตามฤดูกาล แต่แนวโน้มระยะยาวยังแข็งแกร่ง งานสำรวจล่าสุดระบุว่า 95% ของธนาคารกลางคาดว่าจะเพิ่มการถือครองทองใน 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งสูงที่สุดตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูล


    ETF: นักลงทุนตะวันตกเป็นผู้เล่นหลักในรอบนี้

    เดือนสิงหาคมมีกระแสเงินไหลเข้า ETF ทองคำกว่า US$5.5 พันล้าน (ราว 53 ตัน) โดยส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนสหรัฐและยุโรป การกลับมาของฝั่งตะวันตกจึงเป็น “ตัวต่อ” ที่ทำให้รอบนี้ราคาทองอยู่บนฐานที่แข็งแรง


    ตลาดฟิวเจอร์ส: การกลับมาของแรงเก็งกำไร

    ในตลาด COMEX แม้กลุ่ม Fast Money จะยังระมัดระวัง แต่เมื่อราคายืนเหนือระดับ US$3,400 ได้อย่างมั่นคง นักลงทุนเก็งกำไรก็เริ่มกลับเข้ามาเพิ่มสถานะ Long ทำให้ตลาดมีทั้งแรงซื้อเชิงโครงสร้างและแรงเก็งกำไรหนุนพร้อมกัน


  5. ปัจจัยเชิงโครงสร้าง: ทองในโลกที่เสถียรภาพสั่นคลอน

    Geopolitics และบทเรียนจากรัสเซีย

    การแช่แข็งสินทรัพย์สำรองของรัสเซียในปี 2022 ทำให้ธนาคารกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะในเอเชีย ตระหนักว่าการถือครองดอลลาร์หรือพันธบัตรสหรัฐฯ ไม่ปลอดภัยเหมือนในอดีต ทองคำจึงถูกสะสมอย่างต่อเนื่องในฐานะ สินทรัพย์ที่ไม่ขึ้นกับการเมืองของประเทศใดประเทศหนึ่ง


    หนี้สาธารณะสหรัฐฯ และเสถียรภาพการคลัง

    การขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูง ทำให้ความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของพันธบัตรสหรัฐฯ ถูกสั่นคลอน นักลงทุนจำนวนมากมองว่าทองคือเครื่องมือกระจายความเสี่ยงในระยะยาว


    Demand Composition ที่เปลี่ยนไป

    ในอดีต ทองคำพึ่งพาความต้องการจากเครื่องประดับและเก็งกำไร แต่ปัจจุบัน Investment Demand กลายเป็นเสาหลัก ทั้งจากธนาคารกลาง กองทุน ETF และนักลงทุนสถาบัน ความต้องการลักษณะนี้สร้างฐานราคาที่มั่นคงและยั่งยืนกว่ารอบก่อน ๆ


    มุมมองการลงทุนทองคำในระยะข้างหน้า

    Source: World Gold Council As of 6 Sep 2025


    ทองคำในระยะข้างหน้ายังถูกมองเป็นสินทรัพย์ที่ควรถือเพื่อลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน แต่ไม่ควรจัดสัดส่วนมากเกินไป มุมมองโดยรวมของ K WEALTH CIO ยังเป็น Neutral เพราะราคาปรับขึ้นแรงจนใกล้ระดับสูงสุดใหม่ นักลงทุนที่ได้กำไรควรทยอย Take Profit เพื่อรักษาผลตอบแทน ขณะที่การถือทองบางส่วนยังมีประโยชน์ในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงเศรษฐกิจที่อาจเข้าสู่ภาวะ Stagflation วัฏจักรการลด


    ดอกเบี้ยที่กด Real Yield ลง ความไม่แน่นอนจากภาษีการค้า และความต้องการเชิงโครงสร้างจากธนาคารกลางและ ETF


    อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดที่นักลงทุนต้องระวัง หากเงินเฟ้อลดลงเร็วและเศรษฐกิจโลกฟื้นเร็วกว่าคาด ทองคำอาจถูกขายทำกำไร อีกทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่ยังสูงอาจกดดัน Upside ของราคา รวมถึงความคาดหวังการเจรจาสันติภาพรัสเซีย–ยูเครนที่อาจทำให้ราคาผันผวนในช่วงสั้นได้เช่นเดียวกัน