เงินเฟ้อสหรัฐฯ ส.ค. โต 2.9% ตามคาด ตลาดหุ้นปรับบวก หนุนความคาดหวังว่า Fed อาจลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมกลางเดือนก.ย.

ประเด็นร้อน : เงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 2.9% ตามคาด

เงินเฟ้อสหรัฐฯ ส.ค. โต 2.9% ตามคาด ตลาดหุ้นปรับบวก หนุนความคาดหวังว่า Fed อาจลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมกลางเดือนก.ย.

กดฟัง
หยุด
  • เงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือนสิงหาคมเพิ่ม 2.9% ตามคาด Core CPI 3.1% ทรงตัว โดยแรงหนุนจากรถมือสองและค่าบริการ แม้ยังมีแรงกดดันจากภาษีนำเข้า
  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับบวก นักลงทุนมั่นใจ Fed มีโอกาสลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุม 16-17 ก.ย. แม้ยังต้องจับตาความเสี่ยงจากมาตรการภาษีนำเข้า

เงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นตามคาด

ดัชนีเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) เดือนสิงหาคม 2025 สหรัฐฯ เพิ่ม 2.9% เทียบกับปีก่อน จาก 2.7% ในเดือนกรกฎาคม

  • เมื่อเทียบรายเดือน CPI ทั่วไปเพิ่ม 0.4% ในเดือนสิงหาคม หลังจากเพิ่ม 0.2% ในเดือนกรกฎาคม
  • ดัชนีเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เพิ่ม 3.1% เทียบกับปีก่อนหน้า เท่ากับเดือนกรกฎาคม
  • รายเดือน Core CPI เพิ่ม 0.3% ในเดือนสิงหาคม ทรงตัวจากเดือนก่อน
  • ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ Core CPI สูงเกิดจากรถยนต์ และรถบรรทุกมือสองเป็นหลัก สินค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้า ผู้ประกอบการส่งผ่านต้นทุนในอัตราที่ช้าลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า
  • ด้านภาคบริการปรับเพิ่มขึ้นจาก ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก และค่าเช่าบ้านเป็นหลัก แต่ภาพรวมเพิ่มขึ้นน้อยลงเทียบกับเดือนก่อน

Related Indices
  • NASDAQ +0.72% ปิดที่ 22,043 จุด
  • S&P 500 +0.85% ปิดที่ 6,587 จุด
  • Dow Jones +1.36% ปิดที่ 46,108 จุด

(ข้อมูล ณ วันที่ 11 ก.ย. 2568)


มุมมองต่อการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้

  • ตลาดมีการตอบสนองเชิงบวกเนื่องจากแม้เงินเฟ้อเร่งขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับที่ Fed อาจพิจารณาลดดอกเบี้ยได้ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากภาวะแรงงานที่เริ่มอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด
  • นักลงทุนเพิ่มความเชื่อมั่นในการลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุม Fed วันที่ 16-17 กันยายนนี้
  • อย่างไรก็ตามยังคงมีความเสี่ยงด้านราคาสินค้าภายใต้มาตรการภาษีนำเข้า (tariffs) ซึ่งอาจผลักดันให้ราคาสินค้าบางประเภทขึ้นต่อเนื่อง แม้จะมีการลดต้นทุนจากพลังงานหรือปัจจัยอื่น ๆ

คำแนะนำการลงทุน

  • สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นสหรัฐ
    • หากมีสัดส่วนมากกว่า 30% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS
    • หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 30% แนะนำ “คงน้ำหนักการลงทุน”
  • สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐ
    • สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐ “รอโอกาสลงทุนที่น่าสนใจ”
    • เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WEALTHPLUS เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
    • แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
    • สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS

หมายเหตุ:
  • ระดับความเสี่ยงกองทุน
    • K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
    • K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
    • K-USA-A(A), K-USXNDQ-A(A): ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
  • นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
    • K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง100%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
    • K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง มากกว่า 90%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
    • K-USA-A(A), K-USXNDQ-A(A): ป้องกันความเสี่ยง ไม่น้อยกว่ากว่า 75%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
    • K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
  • ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
    • K-SFPLUS: T+1
    • K-FIXEDPLUS-A: T+2
    • K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-USA-A(A), K-USXNDQ-A(A): T+6


คำเตือน

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”, “ทำความเข้าเงื่อนไขการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีและผลกระทบหากทำผิดเงื่อนไขก่อนตัดสินใจลงทุน”

ผู้เขียน

K WEALTH

Back to top