ดอกเบี้ยขาลง: จุดเปลี่ยนของวัฏจักร
การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ถูกนิยามว่าเป็น “risk management cut” หรือการลดเพื่อป้องกันความเสี่ยงเฉพาะหน้า ไม่ได้เกิดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง แต่เพื่อตอบรับแรงกดดันที่ตลาดแรงงานสหรัฐฯ เริ่มเห็นการชะลอตัว ตัวเลขการจ้างงานลดลงต่อเนื่อง ขณะที่อัตราว่างงานขยับขึ้น นอกจากนี้ การส่งสัญญาณว่าจะมีการลดต่อเนื่องในเดือนตุลาคม–ธันวาคม คล้ายกับกรณีปี 2019–2020 ที่ Fed เริ่มต้นด้วยการลดเพียงเล็กน้อย ก่อนกลายเป็นวัฏจักรผ่อนคลายเต็มรูปแบบ วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การประคับประคองเศรษฐกิจ แต่ยังอาจกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ตลาดทุนทั่วโลก
Yield Differential: ทำไม EM ได้เปรียบ
หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ตลาดเกิดใหม่กลับมาน่าสนใจคือ “Yield Differential” หรือส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างสินทรัพย์ EM (Emerging Markets) กับ DM (Developed Markets) อธิบายง่าย ๆ คือ หากพันธบัตรสหรัฐฯ ตัวแทนของ DM ให้ดอกเบี้ย 4% แต่พันธบัตรอินโดนีเซียหรือบราซิลที่เป็นตัวแทนของ EM ให้ดอกเบี้ย 7% นักลงทุนย่อมมองว่า EM น่าสนใจกว่า อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ดอกเบี้ยของสหรัฐฯ อยู่สูง ส่วนต่างนี้จะหดแคบลง ทำให้ความน่าสนใจของ EM ลดลง แต่เมื่อ Fed ลดดอกเบี้ย ส่วนต่างนี้จะกว้างขึ้น เนื่องจากตลาด EM หลายแห่งได้มีการดำเนินนโยบายผ่อนคลายไปก่อนหน้าแล้ว ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ต่ำกว่า ดังนั้นแนวโน้มการลดในฝั่ง EM ย่อมที่จะน้อยกว่าฝั่งสหรัฐฯ เงินทุนจึงมีแรงจูงใจไหลกลับเข้าสู่ EM เพราะได้ผลตอบแทนสูงกว่าในขณะที่ความเสี่ยงด้านค่าเงินลดทอนลงจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง
ดอลลาร์อ่อนเมื่อ Fed หั่นดอกเบี้ย: ปัจจัยหนุนตลาด EM
จากกราฟแรกจะเห็นว่า Fed Funds Rate มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับ Dollar Index อธิบายง่ายๆ คือเมื่อ Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ย เงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น เพราะนักลงทุนทั่วโลกต้องการถือดอลลาร์เพื่อรับดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่เมื่อ Fed เริ่มหั่นดอกเบี้ย ดอลลาร์มักอ่อนค่าลงตามเพราะความต้องการลดลง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุน
กราฟที่สองสะท้อนความสัมพันธ์นี้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเปรียบเทียบ Dollar Index กับ MSCI Emerging Market Index (MSCI EM) ซึ่งเป็นตัวแทนของดัชนีตลาด EM:
เมื่อดอลลาร์แข็ง (ช่วง Fed ขึ้นดอกเบี้ย) → EM มัก underperform เพราะต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น และเงินทุนไหลกลับเข้าสหรัฐฯ
เมื่อดอลลาร์อ่อน (ช่วง Fed หั่นดอกเบี้ย) → EM มัก outperform เนื่องจากได้แรงหนุนจากกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้า และค่าเงินท้องถิ่นมีเสถียรภาพมากขึ้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงรอบใหม่นี้ ไม่ได้หมายถึงต้นทุนการเงินที่ต่ำลงในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังหมายถึง “แรงส่ง” ให้ตลาด EM มีโอกาสฟื้นตัวและกลับมาเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลก
กระแสเงินทุนไหลกลับ EM และสินทรัพย์เสี่ยง
การผ่อนคลายดอกเบี้ยไม่เพียงกดดันค่าเงินดอลลาร์ให้อ่อนค่า แต่ยังปลดล็อกสภาพคล่องจำนวนมากให้ไหลสู่สินทรัพย์ที่ให้โอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่า สำหรับตลาดเกิดใหม่ซึ่งเผชิญแรงไหลออกมาตลอดช่วงดอกเบี้ยสูง ปี 2025 อาจเป็นจุดกลับตัวสำคัญ โดยเฉพาะใน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และละตินอเมริกา ที่ยังมีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ และ Valuation หุ้นที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ หรือยุโรป ปรากฏการณ์นี้อาจสร้าง “re-rating” ให้นักลงทุนหันกลับมาประเมินมูลค่าใหม่ และพร้อมเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในภูมิภาคที่เคยถูกมองข้าม
โอกาสของสินทรัพย์ปันผลสูง
ขณะเดียวกัน สินทรัพย์ที่เน้นการจ่ายปันผลสม่ำเสมอก็กลับมาอยู่ในเรดาร์อีกครั้ง ทั้ง พันธบัตรระยะยาว, REITs และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure funds) ซึ่งเคยถูกกดดันจากอัตราดอกเบี้ยสูง เมื่อดอกเบี้ยลง ต้นทุนทางการเงินต่ำลง ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากปันผลยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เกิด “yield premium” ที่น่าสนใจกว่าสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตรรัฐบาล นักลงทุนที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอจึงมีเหตุผลเพิ่มน้ำหนักสินทรัพย์เหล่านี้ในพอร์ตอีกครั้ง
บทสรุปและข้อเสนอแนะด้านการลงทุน
การลดดอกเบี้ยของ Fed คือการเปิดฉาก วัฏจักรใหม่ของการลงทุน ซึ่งนักลงทุนควรใช้โอกาสนี้ในการปรับพอร์ตเพื่อรับประโยชน์จากกระแสเงินทุนที่หมุนกลับเข้าสู่ EM และสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง
K-CHINA: สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จีนยังคงเป็นธีมเด่นจาก การเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยี + Valuation ที่ถูกกว่าสหรัฐฯ บวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
K-INDIA: แม้ที่ผ่านมา laggard จากแรงกดดันเรื่อง Tariffs ของสหรัฐฯ แต่สถานการณ์นี้มีแนวโน้มผ่อนคลาย และตลาดอินเดียผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว การเติบโตภายในประเทศ (domestic growth story) ยังเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในระยะยาว
K-GINFRA: ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง หนุนความน่าสนใจของสินทรัพย์ปันผลสูง พร้อมแรงหนุนจากการลงทุนใน โครงสร้างพื้นฐาน–Utilities–Data Centers ที่เติบโตตามกระแส AI ทำให้ทั้ง รายได้มั่นคง + ศักยภาพการเติบโต เด่นชัด