ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวด้วยจุดยืนใหม่ทางเศรษฐกิจอย่างเทคโนโลยี AI และมูลค่าหุ้นยังไม่แพง จังหวะดีสำหรับการทยอยสะสมผ่าน K-CHINA

AI Chain เส้นเลือดใหม่ของเศรษฐกิจจีน

จีนกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากอสังหาฯ ไปสู่นวัตกรรม และอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการลงทุนในอนาคต

กดฟัง
หยุด
  • เศรษฐกิจจีนกำลังเปลี่ยนจากอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานไปสู่ “เครื่องยนต์ใหม่” อย่างเทคโนโลยร AI ส่วนภาคอสังหาฯ ยังอ่อนแอแต่การปรับตัวลงเริ่มชะลอ ราคาบ้านใหม่ลดเพียง 2.5% YoY และยอดขายพื้นที่ลด 4.7% YoY โดยมาตรการรัฐช่วยชะลอผลกระทบและเปิดช่องให้เศรษฐกิจปรับตัว
  • จีนสร้างห่วงโซ่ AI ครบวงจรตั้งแต่ชิปและอุปกรณ์กึ่งตัวนำ (ต้นน้ำ) การฝึกโมเดล AI (กลางน้ำ) จนถึงการใช้งานจริงในธุรกิจและชีวิตประจำวัน (ปลายน้ำ) ตลาด AI คาดเติบโตจาก 15,769 ล้านดอลลาร์ (ในปี 2023) เป็น 206,608 ล้านดอลลาร์ (ในปี 2030) CAGR 42.6% สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก 35.9%
  • K-CHINA โอกาสลงทุน All China กองทุนลงทุนครอบคลุม A-Shares, H-Shares, ADR เน้นหุ้นผู้นำด้าน AI และเทคโนโลยี เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้าถึงเศรษฐกิจจีนยุคใหม่และโอกาสเติบโตระยะยาว

เศรษฐกิจจีนกำลัง “เปลี่ยนเครื่องยนต์”

เศรษฐกิจจีนกำลังก้าวจากการพึ่งพาอสังหาริมทรัพย์ไปสู่ “เครื่องยนต์” ใหม่ โดยแม้ภาคอสังหาจะยังอ่อนแอ แต่เริ่มเห็นการชะลอของการปรับตัวลง



ในเดือนส.ค. 2025 ราคาบ้านใหม่ลดลง 2.5% YoY และลดลง 0.3% MoM ซึ่งเป็นการปรับตัวที่เบาลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า ขณะที่การลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ลดลงราว 12.9% YoY ในช่วง ม.ค.–ส.ค. 2025 และยอดขายพื้นที่ตามชั้น (floor area sold) หดตัวประมาณ 4.7% YoY สะท้อนว่าความต้องการยังอ่อนแต่ “อัตราการถดถอย” เริ่มแคบลงในบางเมืองชั้นนำ


ถึงแม้ว่าในพื้นที่ที่แล้วเสร็จแต่ยังขายไม่ออกอยู่ในระดับสูง (ประมาณ 400–408 ล้านตร.ม.ของสต็อกที่แล้วเสร็จ) แต่ทางภาครัฐบาลได้พิจารณามาตรการเชิงรุกออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การให้รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานกลางเข้ามาช่วยซื้อสต็อกที่ค้าง (มีวงเงินกรอบเดิมที่ใช้ได้ประมาณ 300 พันล้านหยวนสำหรับโครงการบางชุด) และธนาคารกลางเองก็ผ่อนปรนนโยบายการเงินเพื่อช่วยลดภาระสินเชื่อบ้าน (เช่น การปรับลดอัตราอ้างอิงระยะยาวที่ใช้เป็นฐานคิดอัตราจำนอง) มาตรการเหล่านี้ช่วยชะลอการย่ำแย่และเปิดช่องให้เศรษฐกิจมีเวลาปรับตัว แต่ภาคอสังหายังไม่กลับมาสู่สภาวะปกติเต็มที่ จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผลักดันจีนให้เร่งลงทุนด้านเทคโนโลยีและดึงการลงทุนต่างประเทศเข้ามาเป็น “เครื่องยนต์” ใหม่ของการเติบโต


การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจใหม่

เมื่อก่อนถ้าใครพูดถึง “เครื่องยนต์เศรษฐกิจจีน” คำตอบก็มักจะวนอยู่กับสองเรื่องใหญ่อย่าง อสังหาริมทรัพย์กับโครงสร้างพื้นฐาน ตึกสูงที่ผุดขึ้นแทบทุกหัวเมือง และทางด่วน รถไฟฟ้าความเร็วสูงที่เชื่อมทั่วประเทศ คือภาพจำของการเติบโตในแบบจีน แต่หลังจากวิกฤติในภาคอสังหาฯ ที่ลากยาวหลายปี จีนก็เหมือนต้องหาคำตอบใหม่ว่า อะไรจะมาแทนที่ สัญญาณการเปลี่ยนผ่านเริ่มชัดเจนขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ภาครัฐอัดมาตรการพยุงตลาดบ้านให้ทรงตัวไว้ ขณะเดียวกันก็เร่งผลักดัน “เครื่องยนต์รุ่นใหม่” เข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสิ่งที่คนทั้งโลกเริ่มหันมาจับตาก็คือ AI ซึ่งกำลังถูกมองว่าเป็น “เส้นเลือดใหม่” ของเศรษฐกิจจีน


จีนไม่ได้หยุดอยู่แค่การพัฒนา AI ให้แข่งขันกับตะวันตกได้ แต่พยายามสร้าง ครบทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่ ต้นน้ำ อย่างผู้ผลิตชิปและอุปกรณ์กึ่งตัวนำ, กลางน้ำ ที่รวมถึงการ Training AI, สร้าง Foundation Models ไปจนถึง ปลายน้ำ คือการนำไปใช้สร้างผลิตภัณฑ์/บริการในชีวิตจริง ภาพด้านล่างเป็นตัวอย่างธุรกิจในจีนที่อยู่ในห่วงโซ่ AI



ซึ่งคือการประยุกต์ใช้งาน AI ในธุรกิจและชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ e-commerce ไปจนถึงยานยนต์ไฟฟ้า การพยายามครอบคลุมทั้งห่วงโซ่แบบนี้ ไม่ได้แค่ช่วยให้จีน “พึ่งตัวเอง” ได้มากขึ้นในยุคที่ตะวันตกพยายามจำกัดการส่งออกชิปขั้นสูง แต่ยังทำให้เกิด Ecosystem ทางเศรษฐกิจใหม่ที่แข็งแรงและเชื่อมโยงกันแบบยั่งยืน และนี่คือจุดแข็งที่ประเทศอื่นเลียนแบบได้ยาก


ผลลัพธ์ก็เริ่มสะท้อนให้เห็นในตลาดทุนเช่นกัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว บวกกับความเชื่อมั่นต่อการยืนบนเส้นทาง “เศรษฐกิจใหม่” อย่าง AI และเทคโนโลยีสีเขียว ทำให้ ตลาดหุ้นจีนทั้ง CSI300 และ HSI ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 16/9/2025) ปรับตัวบวกขึ้นกว่า 14.85% และ 34.87% นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มกลับมามองจีนไม่ใช่แค่ตลาดอสังหาเก่าที่มีปัญหา แต่เป็นตลาดที่เต็มไปด้วยโอกาสจากการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่


ทำไมเรื่องนี้สำคัญต่อการลงทุน?

สิ่งที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านของจีนครั้งนี้ “สำคัญต่อการลงทุน” ก็เพราะศักยภาพการเติบโตของตลาด AI ที่ไม่ได้เป็นแค่แนวคิด แต่มีการใช้งานจริงและแพร่หลาย ตั้งแต่ภาคการผลิต บริการ ไปจนถึงชีวิตประจำวัน


จากภาพด้านบนแสดงให้เห็นว่าตลาด AI ของจีนคาดว่าจะเติบโตจากมูลค่า 15,769.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 เป็น 206,608.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2030 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 42.6% ระหว่างปี 2025 ถึง 2030 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่คาดว่าจะเติบโตที่ 35.9% ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้การลงทุนจากต่างชาติในภาคเทคโนโลยีของจีนก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยศักยภาพการเติบโตที่สูงและการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน ทำให้ตลาด AI ของจีนเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้าถึงเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตและส่งแรงหนุนต่อเศรษฐกิจโลกในอนาคต


เมื่อมองไปที่ดัชนี Hang Seng TECH (HSTECH) ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นเทคโนโลยีจีนขนาดใหญ่ โดยปัจจุบันมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) อยู่ที่ ประมาณ 26.9 เท่า ในขณะที่ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีของดัชนีนี้อยู่ที่ ราว 29.7 เท่า ซึ่งหมายความว่าปัจจุบันหุ้นในดัชนีนี้ถูกประเมินมูลค่าไว้ต่ำกว่าที่เคยเป็นมา


ธุรกิจ AI ของจีนไม่ได้มีดีแค่มูลค่าที่ยังถูกกว่าค่าเฉลี่ย เพราะจากงบไตรมาส 2 ปี 2568 ก็เห็นชัดแล้วว่า “กำไรจับต้องได้” อย่างเช่น Alibaba ทำกำไรพุ่ง 78% YoY จากธุรกิจ AI และ Cloud, Tencent รายได้โต 15% YoY จากเกมและโฆษณาที่ใช้ AI ช่วยยกระดับ และ Cambricon กำไรโตแรง 92% YoY พร้อมอัตรากำไรขั้นต้น 56% YoY คำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้นชัดเจน สะท้อนว่ากระแส Generative AI และการใช้ชิปจีนในโมเดลชั้นนำอย่าง DeepSeek, Qwen และ Hunyuan กำลังผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างแท้จริง


K-CHINA โอกาสลงทุนที่ไม่ควรพลาด

กองทุน K-CHINA เปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึง “จีนใหม่” แบบ All China ทั้ง A-Shares, H-Shares และ ADR โดยเน้นหุ้นผู้นำที่เป็นหัวใจของการใช้ AI และนวัตกรรมในชีวิตประจำวัน จากภาพด้านล่าง ซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลในหนังสือชี้ชวนล่าสุด (ก.ค. 2568)



กองทุน K-CHINA ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Tencent, Alibaba, Xiaomi, Pinduoduo และ Meituan ซึ่งล้วนเป็นบริษัทที่มีบทบาทสำคัญต่ออนาคตเศรษฐกิจจีน และกำลังได้อานิสงส์จากการประยุกต์ใช้ AI อย่างเต็มที่ หากกำลังมองหากองทุนที่จะพาคุณเติบโตไปพร้อมกับ “เครื่องยนต์รุ่นใหม่ของเศรษฐกิจจีน” K-CHINA คือโอกาสลงทุนที่ไม่ควรพลาด


ขอขอบคุณข้อมูลจาก: KAsset, Bloomberg, Grand View Research, LSEG Datastream



คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTHอรรถกิจ พิมพ์ศรี

Back to top