-
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงดอกเบี้ยที่ 0.5% ตามที่ตลาดคาดไว้ โดยประเมินว่าเศรษฐกิจยังคงมีความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
-
คาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่นจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และอาจเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ทั้งนี้ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นอาจได้รับแรงกดดันจากการลดการถือครอง ETFs ความไม่แน่นอนจากประเด็นการเมือง และเศรษฐกิจที่อาจชะลอลงจากผลของภาษีนำเข้าสหรัฐฯ
Market Update
ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) วันที่ 19 ก.ย. 2568 คณะกรรมการมีมติ 7:2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% ตามที่ตลาดคาดไว้ โดยประเมินว่าเศรษฐกิจยังคงมีความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่เริ่มส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทในภาคการผลิต ขณะที่กรรมการ 2 ท่านเห็นควรให้ปรับดอกเบี้ยขึ้นเป็น 0.75% เพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ BOJ มีมติให้ขาย ETFs และ J-REITs ที่ถือครองในระดับ 330 พันล้านเยน และ 5 พันล้านเยนต่อปีตามลำดับ
Related Indices
- Nikkei 225: -0.89%
- Topix: -0.84%
- USD/JPY: 147.40 (-0.4%)
(ข้อมูล ณ วันที่ 19 ก.ย. 2568 เวลา 11:35 น.)
Market Outlook
BOJ ยังคงกังวลผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในขณะที่ด้านเงินเฟ้อ แม้เงินเฟ้อพื้นฐานเดือน ส.ค. +2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางที่ 2% อย่างต่อเนื่อง แต่ธนาคารกลางประเมินว่าเงินเฟ้อจะชะลอลงจากผลของราคาอาหารที่คาดว่าจะลดลง และเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว
ท่าที Dovish ของ BOJ ทำให้คาดได้ว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และอาจเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้รับแรงหนุนจาก
- เศรษฐกิจที่เติบโตได้ดีในช่วงครึ่งปีแรก
- การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
- การปฏิรูปธรรมาภิบาลองค์กรที่ส่งเสริมผลตอบแทนผู้ถือหุ้น เช่น Dividend และ Buyback
อย่างไรก็ตาม อาจได้รับแรงกดดันจากการลดการถือครอง ETFs และยังมีความไม่แน่นอนจากประเด็นการเมือง และเศรษฐกิจที่อาจชะลอลงจากผลของภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่จะเริ่มเห็นผลชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
K WEALTH ยังคงมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อหุ้นญี่ปุ่น
คำแนะนำการลงทุน
- สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นญี่ปุ่น
- หากมีสัดส่วนมากกว่า 20% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS
- หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% แนะนำ “คงน้ำหนักการลงทุน”
- สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นญี่ปุ่น
- สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นญี่ปุ่น “รอโอกาสลงทุนที่น่าสนใจ”
- เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WealthPLUS Series เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
- แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
- สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-JPX-A(A), K-JP-A(D): ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง 100% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยงมากกว่า 90% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-JPX-A(A), K-JP-A(D): ป้องกันความเสี่ยงไม่น้อยกว่ากว่า 75% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS: T+1
- K-FIXEDPLUS-A: T+2
- K-JPX-A(A): T+3
- K-JP-A(D): T+4
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6