-
Fitch คงเครดิตไทยที่ BBB+ แต่หั่น Outlook เป็น “Negative” แม้คงเครดิต BBB+ จากความเสี่ยงเศรษฐกิจ-หนี้รัฐ กดดันตลาดหุ้น ค่าเงินบาท และพันธบัตร
-
K Wealth แนะนำกระจายพอร์ตไปกองตราสารหนี้คุณภาพอย่าง K-SF, K-SFPLUS, K-FIXED และ K-FIXEDPLUS ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลงและบริหาร Duration อย่างรอบคอบ
Fitch ปรับลด Outlook ไทยเป็น “Negative” แต่ยังคงอันดับที่ BBB+
Fitch Ratings ประกาศคงอันดับเครดิตระยะยาวของไทยที่ BBB+ แต่ปรับแนวโน้ม (Outlook) จาก Stable เป็น Negative
- Fitch ให้เหตุผลว่า ปัจจัยเสี่ยงภายนอก เช่น ความเปราะบางของเศรษฐกิจทั่วโลก การชะลอตัวของภาคการส่งออก และภาระหนี้ภาครัฐที่อาจเพิ่มขึ้นในสถานการณ์ที่รายได้ของรัฐถูกกดดัน ได้ส่งผลให้มุมมองของอันดับเครดิตลดลง
- Fitch เตือนว่า หากเกิดความล่าช้าในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย หรือหนี้ภาครัฐ-การคลังแย่กว่าคาด อาจมีการลดอันดับ (downgrade) ได้ในอนาคต
ตลาดหุ้น / ความเชื่อมั่นนักลงทุน
การที่แนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือถูกปรับเป็น Negative อาจลดความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศที่มีเครดิตระดับสูงและเสถียรภาพทางการคลังมั่นคง
- ตลาดหุ้นไทยอาจถูกกดดันและอาจมีความผันผวนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่อาศัยเงินทุนจากต่างประเทศ
ค่าเงินบาท / เงินทุนไหลเข้า-ออก
- แนวโน้มด้านเครดิตที่ไม่แน่นอน อาจกระตุ้นให้เกิดกระแสเงินทุนไหลออก โดยเฉพาะจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ขณะที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่ามากขึ้น หากนักลงทุนต่างชาติปรับลดการถือครองสินทรัพย์ไทย
- อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานจากภาคท่องเที่ยว การส่งออก และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในระยะยาว ยังคงเป็นแรงพยุงที่ช่วยประคองเสถียรภาพของค่าเงินไว้ได้ในบางส่วน
มุมมองการลงทุน
การที่แนวโน้มเครดิตของประเทศถูกปรับลด อาจทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (yield) สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
- กองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในพันธบัตรระยะกลางถึงยาว อาจเผชิญแรงกดดันจาก NAV ที่ปรับลดลง หาก yield ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการไหลออกของเงินทุน แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนการถือครองในพันธบัตรไทยค่อนข้างต่ำ
- กองทุนที่ถือพันธบัตรระยะสั้นหรือมี Duration ต่ำ มีโอกาสได้รับผลกระทบน้อยกว่า
**หมายเหตุ: การเปลี่ยนแนวโน้มเครดิตเป็น Negative ไม่ได้หมายถึง “ลดอันดับทันที” แต่เป็นสัญญาณเตือนให้ระมัดระวัง
คำแนะนำการลงทุน
- สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้
- กองทุน K-SF, K-SFPLUS, K-FIXED และ K-FIXEDPLUS เน้นคุณภาพของผู้ออกตราสาร โดยลงทุนในตราสารภาครัฐและภาคเอกชนที่มีอันดับเครดิตระดับ Investment Grade ประกอบกับการบริหาร Duration อย่างระมัดระวัง และยังได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง
- สามารถลงทุนและถือครองต่อเนื่องได้ โดยให้ถือครองตามระยะเวลาการลงทุนที่แนะนำ
- สำหรับนักลงทุนทั่วไป
- เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WEALTHPLUS เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
- แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
- สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SF-A, K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS, K-SF-A : ป้องกันความเสี่ยง100%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยง มากกว่า 90%ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-GDBOND-A(A): ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS, K-SF-A: T+1
- K-FIXEDPLUS-A: T+2
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6