ปัจจัยมหภาคหนุน Asia Tech
สภาวะมหภาคในปัจจุบันส่งสัญญาณสนับสนุนการลงทุนใน Asia Tech หลายด้าน ดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าช่วยให้บริษัทเอเชียมีภาระหนี้ต่างประเทศลดลงและมีความสามารถแข่งขันด้านราคาสินค้าเพิ่มขึ้น กระแสเงินทุนจึงมีแนวโน้มไหลกลับเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศในเอเชียกลับเข้าสู่ระดับเป้าหมายเร็วกว่าสหรัฐฯ และยุโรป ทำให้ธนาคารกลางในภูมิภาคสามารถดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่า ปัจจัยเหล่านี้ทำให้หุ้นเติบโต (Growth Stocks) ได้รับแรงสนับสนุนโดยตรง
นอกจากนี้ การคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนในเอเชียยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ในปี 2025–26 จะสูงกว่าสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตที่ยังไม่ถูกสะท้อนเต็มที่ในราคา เมื่อรวมกับสภาวะดอกเบี้ยขาลง ทำให้เอเชียกลายเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี
ธีมการเติบโตของ Asia Tech
การเติบโตของ Asia Tech ขับเคลื่อนด้วยเมกะเทรนด์ระยะยาวที่แข็งแกร่งและยั่งยืน เริ่มจาก E-commerce และ Digital Consumption ซึ่งได้แรงหนุนจากชนชั้นกลางที่ขยายตัวและพฤติกรรมการบริโภคของ Gen Z ที่เปลี่ยนไปสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยคาดว่ามูลค่าการซื้อขายออนไลน์ (GMV) ในภูมิภาคเอเชียจะเติบโตถึง 3 เท่าในช่วง 5 ปีข้างหน้า ทำให้ธุรกิจออนไลน์ทั้งในอินเดียและอาเซียนซึ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังมีศักยภาพการขยายตัวอีกมหาศาล
ขณะเดียวกัน Gaming และ AI ก็กำลังกลายเป็นอีกเสาหลักของการเติบโต เอเชียเป็นศูนย์กลางของผู้พัฒนาเกมระดับโลกกว่า 10–20 บริษัท โดยเฉพาะญี่ปุ่นและเกาหลี ซึ่งมีทั้งความเชี่ยวชาญด้านคอนเทนต์และเทคโนโลยี การเข้ามาของ AI agents ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมเกม ผ่านการยกระดับประสบการณ์ผู้เล่นและการสร้าง engagement ที่ยั่งยืน
สำหรับ Semiconductors เอเชียครองความเป็นผู้นำในระดับโลก โดยควบคุมสัดส่วนห่วงโซ่อุปทานถึง 72% และ TSMC ถือครองส่วนแบ่งตลาดชิปขั้นสูงมากถึง 78% กระแสการลงทุนมหาศาลด้าน AI (AI Capex Boom) ทำให้ความต้องการหน่วยความจำและชิปประสิทธิภาพสูงเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งผู้ผลิตในเกาหลี ญี่ปุ่น และไต้หวันล้วนได้รับประโยชน์โดยตรง
สุดท้าย EV และ Green Tech กำลังผลักดันเอเชียให้เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีสะอาด จีนไม่เพียงครองตลาด EV hardware แต่ยังมีความได้เปรียบด้านขนาดและต้นทุน โดยเฉพาะ BYD ที่แซง Tesla ในยอดขายและกำลังขยายสู่ตลาดโลก ความพยายามของประเทศในเอเชียต่อการบรรลุ Carbon Neutrality ยังสร้างโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ในพลังงานสะอาดและนวัตกรรมสีเขียว
ทำไมต้องเลือก K-ATECH?
K-ATECH เป็นกองทุนที่ออกแบบมาเพื่อให้นักลงทุนเข้าถึงโอกาสใน Asia Tech ได้อย่างตรงจุด โดยลงทุนผ่าน JPMorgan Pacific Technology Fund ซึ่งบริหารแบบ Active และมีการคัดเลือกหุ้นแบบ High-Conviction ถือหุ้นเพียง 30–45 บริษัทที่มีศักยภาพโดดเด่น กองทุนเน้นการลงทุนใน 3 ธีมหลัก ได้แก่ Manufacturing Leaders ที่มุ่งไปยังผู้นำห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์และฮาร์ดแวร์ AI, Digital Consumption ที่ครอบคลุมกลุ่มอีคอมเมิร์ซ เกม และบริการ SaaS ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก และ Corporate Transformation ที่เน้นเทคโนโลยีองค์กร Green Tech และ Automation ซึ่งจะกลายเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต
ผลการดำเนินงานของ K-ATECH สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพ โดยในปี 2025 กองทุนสร้างผลตอบแทนได้ +8.97% เหนือกว่าดัชนีอ้างอิงที่ +7.98% และมีขนาดกองทุน ณ กรกฎาคม 2025 อยู่ที่ 2,047 ล้านบาท นอกจากนี้ ด้วยการบริหารโดยผู้เชี่ยวชาญจาก JPMorgan Asset Management นักลงทุนจึงมั่นใจได้ว่ากองทุนสามารถคัดเลือกบริษัทที่มีโอกาสเติบโตระยะยาวและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก
คำแนะนำ
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก เทคโนโลยีกำลังกลายเป็นเสาหลักของการเติบโตและนวัตกรรม การลงทุนใน Asia Tech จึงไม่ใช่เพียงการตามเทรนด์ แต่คือการจับโอกาสในเมกะเทรนด์ที่ขับเคลื่อนอนาคตของภูมิภาค กองทุน K-ATECH ช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงโอกาสเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยทั้งปัจจัยมหภาคที่เอื้ออำนวย ธีมการเติบโตเชิงโครงสร้าง และ Valuation ที่ยังคงน่าสนใจกว่าสหรัฐฯ
K-ATECH จึงเป็นคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการ “เร่งเครื่องสู่อนาคต” ไปพร้อมกับการเติบโตของเทคโนโลยีเอเชีย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: Bloomberg