ทำไม “เทคเอเชีย” ถึงน่าจับตามอง
หากพูดถึง “Megatrend” การลงทุนในโลกยุคนี้ คงหนีไม่พ้นกลุ่ม เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น AI, Cloud, Gaming, Semiconductor, หรือ E-commerce ซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก และถ้าเจาะไปที่ “เอเชีย” จะยิ่งเห็นชัดว่า ภูมิภาคนี้กำลังกลายเป็น หัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัลโลก
- ครองกว่า 72% ของห่วงโซ่การผลิต Semiconductor ผ่านผู้เล่นหลักอย่างไต้หวัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น
- เป็นบ้านของแพลตฟอร์มดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ เช่น Alibaba, Tencent, Sea Group และ Grab ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
- ขณะเดียวกันหลายประเทศก็กำลังผลักดัน นโยบายดิจิทัล และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ไม่ว่าจะเป็น AI, Cloud, 5G หรือ Smart City ตอกย้ำว่าเมกะเทรนด์นี้ยังอยู่ในช่วงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
- ที่สำคัญคือ Valuation หุ้นเทคเอเชียยังซื้อขายในระดับ Forward P/E ราว 18–19 เท่า ซึ่งต่ำกว่าหุ้นเทคสหรัฐฯ (Nasdaq 100 ประมาณ 30 เท่า) และยังอยู่ใกล้ค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง แสดงให้เห็นว่าโอกาสการลงทุนยังมีทั้ง “การเติบโต” และ “ความคุ้มค่า” [Source: Bloomberg as of 3 Oct 2025]
แม้ธีม เทคเอเชีย จะน่าสนใจและมีศักยภาพเติบโตในระยะยาว แต่สำหรับนักลงทุนไทย กองทุนที่โฟกัส Asia Technology ยังมีน้อยมากกกก ส่วนใหญ่เป็นกอง China Tech ที่กระจุกตัวอยู่ในจีนเพียงประเทคเดียว ไม่ก็เป็นกองทุน Asia ที่ไม่ได้เน้นสร้างผลตอบแทนจากการเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยีอย่างแท้จริง
คำถามคือ…หากอยากเข้าถึงโอกาสจาก ‘เทคเอเชีย’ อย่างเต็มที่ ควรเลือกลงทุนอย่างไรดี ? บทความนี้จะพาไปเจาะลึก 2 กองทุนหุ้นเทคเอเชียแนะนำจาก K WEALTH ที่น่าสนใจที่สุดในตลาดปัจจุบัน - K-ATECH และ MATECH
ส่อง 2 กองทุนเทคเอเชีย: K-ATECH vs MATECH-A
Source: Bloomberg as of 3 Oct 2025

K-ATECH: เน้นความมั่นคงและการกระจายความเสี่ยง
โครงสร้างกองทุน: เป็น Feeder Fund ลงทุนในกองหลัก JPMorgan Pacific Technology Fund เน้นลงทุนในบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยี สื่อ และการสื่อสาร ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น ไม่น้อยกว่า 70%
กลยุทธ์: ลงทุนแบบ Active เน้นการคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-Up ถือหุ้น 30–50 ตัว (ปัจจุบันถือหุ้น 47 ตัว) เน้นบริษัทที่เป็นผู้นำ มีแนวโน้มการเติบโตกำไรสูง และสามารถสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว รวมถึงมีวินัยในการบริหารเงินทุน
การกระจายตัว:สัดส่วนการลงทุนสูงสุดต่อหุ้นโดยทั่วไปอยู่ที่ 5–6% ช่วยหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการกระจุกตัว และลงทุนครอบคลุมหลากหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, จีน, สิงคโปร์
จุดเด่น: กระจายทั้งประเทศและธีม เพื่อไม่ให้พอร์ตเสี่ยงเกินไปกับปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งและไม่กระจุกในประเทศใดประเทศหนึ่ง มากเกินไป พร้อมสร้าง Exposure จากหุ้นผู้นำเทคในประเทศอื่นด้วย เช่น TSMC (ใต้หวัน) SK Hynix (เกาหลีใต้) Nintendo (ญี่ปุ่น) Tencent (จีน) และ Sea (สิงคโปร์) เป็นต้น
เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเสถียรภาพและการกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะหากในพอร์ตมีการลงทุนในหุ้นจีนอยู่แล้ว K-ATECH จะช่วยบาลานซ์ภาพรวมได้ดี
MATECH: โฟกัสจีนและ Semiconductor
โครงสร้างกองทุน: เป็น Fund of Funds ลงทุน 2 กอง
- Wellington Asia Technology (Active) ~75% : ลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ประกอบธุรกิจในภูมิภาคเอเชียที่มีศักยภาพในการเติบโตที่ดี
- Invesco China Technology ETF (Passive) ~25% : เน้นลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติจีน โดยอิงกับดัชนี FTSE China Incl A 25% Technology Capped Index
กลยุทธ์: ผสม Active + Passive ผู้จัดการกองทุน Take View เทคจีนจากการเพิ่ม/ลดสัดส่วนการลงทุนใน Invesco China Technology ETF ในสัดส่วนบวก/ลบ ไม่เกิน 10%
การกระจายตัว: ลงทุนครอบคลุมหลากหลายประเทศ แต่มีความกระจุกตัวในจีนมากกว่า เนื่องจากมีสัดส่วนการลงทุนใน Invesco China Technology ETF ถึง 25% และมีสัดส่วนกลุ่ม Semiconductor ค่อนข้างสูง เช่น TSMC, SK Hynix, Tokyo Electron, MediaTek, Advantest Corp
จุดเด่น: ได้ Upside จากการฟื้นตัวของจีน และ Semiconductor Rally ✅ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เชื่อมั่นเทคจีนและอยากเร่งโอกาสทำกำไร แต่ต้องยอมรับความผันผวนที่มากขึ้นจากเทคจีนด้วย และเหมาะกับผู้ที่ ยังไม่มี exposure จีนมากในพอร์ต
เลือกยังไงให้ตรงใจคุณ?
-
K-ATECH : สำหรับการวาง Port เพื่อความมั่นคง และการกระจายความเสี่ยง รวมถึงการถือคู่กับกองทุนหุ้นจีน แนะนำถือ K-ATECH ไม่เกิน 20% ของ Port
-
MATECH-A : อยาก weight จีนมากขึ้น ชอบเทคจีนเป็นพิเศษ และยังไม่มีสัดส่วนในจีนมากนัด แนะนำถือ MATECH-A ไม่เกิน 20% ของ Port