หลายครั้งที่พอจะเริ่มเก็บเงินจริงจัง กลับรู้สึกวุ่นวายสุด ๆ เพราะเงินทั้งหมดกองรวมกันอยู่ในบัญชีเดียว ไม่ได้แยกว่าอันไหนไว้ใช้ อันไหนไว้เก็บ หรืออันไหนไว้ลงทุน พอจะเช็กสถานะการเงินก็ยิ่ง งง ไม่รู้ว่าใกล้หรือไกลเป้าหมายแค่ไหน จะวางแผนลงทุนก็ยุ่งไปหมด
แต่ปัญหานี้จะหมดไป ถ้าได้รู้จัก Goal-Based Portfolio ฟีเจอร์ใหม่บน K+ ที่ช่วยจัดพอร์ตตามเป้าหมาย ให้การเก็บเงินเป็นเรื่องง่าย เป็นระบบ และเห็นภาพชัดขึ้นทุกก้าว
Goal-Based Portfolio จะช่วยเราสามารถแบ่งกระเป๋าเก็บเงินตามเป้าหมายได้ตามใจ ไม่ว่าจะเก็บเพื่อสภาพคล่อง เกษียณอายุ หรือจะเป็นเก็บเงินดาวน์รถก็ตาม
และยังสามารถกำหนดเป้าหมายเป็น ระยะเวลา และ/หรือจำนวนเงิน เพื่อให้เราสามารถติดตาม รู้ความก้าวหน้าของเป้าหมายได้ทันทีว่าขาดเหลืออีกเท่าไหร่
และแน่นอนว่าจะให้เก็บเงินไว้เฉยๆ ปล่อยให้เงินขี้เกียจไม่ได้ ในฟีเจอร์ Goal-Based Portfolio ที่ช่วยให้การจัดระเบียบเงินลงทุนต่างๆ ตามเป้าหมายเลย ทำได้ง่ายมากๆ
ถ้าเป็นเป้าหมายระยะสั้นก็อาจจะลงทุนเน้นสภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำ รักษาเงินต้น
หรือถ้าเป็นเป้าหมายยาวๆ ก็สามารถเลือกสินทรัพย์ลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนสูง อย่าง หุ้น กองทุนผสม หรือทองคำ หรือเลือกของที่มีระยะเวลาลงทุนนานให้สอดคล้องกัน อย่างกองประหยัดภาษีก็ได้
ซึ่งแน่นอนว่าแยก 1 พอร์ต 1 กระเป๋า 1 เป้าหมาย เพื่อให้มั่นใจเลือกลงทุนได้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงและระยะเวลานั่นเอง
ในอนาคตจะปรับจะเปลี่ยนพอร์ต ตามเป้าหมายก็สามารถทำได้ง่าย ไม่วุ่นวาย
อีกหนึ่งข้อดีของการที่แบ่งพอร์ตการลงทุนตาม “เป้าหมาย” จะช่วยทำเงินเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับเป้าหมายระยะสั้นเช่น เก็บเงินดาวน์รถ ดาวน์บ้าน ควรลงทุนเน้นสภาพคล่อง รักษาเงินต้นเป็นหลัก
สำหรับเป้าหมายระยะยาวเช่น การเกษียณอายุ สามารถลงทุนที่เน้นเติบโต เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น
แต่ถ้าเราไม่มีการจัดพอร์ตตามเป้าหมายอย่างเหมาะสม แล้วเอาเงินที่ควรลงทุนระยะยาวไปลงทุนสั้น ก็จะทำให้เสียโอกาสในการเติบโต อาจจะทำให้ไม่สามารถสะสมความมั่งคั่งไปจนถึงเป้าหมายได้
หรือถ้าเอาเงินเก็บระยะสั้นไปลงทุนยาว ถ้าระยะสั้นตลาดผันผวน อาจจะทำให้ขาดทุนจำนวนมาก หรืออาจจะมีต้นทุนในการเปลี่ยนเป็นเงินสด เช่น การนำเงินไปซื้อกองทุนที่ได้ลดหย่อนภาษีอย่าง RMF การถอนเงินลงทุนก่อนจะต้องคืนภาษีพร้อมค่าปรับด้วย
สำหรับใครคนที่สนใจ ก็เริ่มต้นใช้งาน Goal-Based Portfolio บน K+ ได้ง่ายๆ เพียง 6 ขั้นตอน ส่วนใครอยากจัดพอร์ตการลงทุน แนะนำจัดแบบ Core & Satellite ที่รองรับการลงทุนในทุกสภาวะตลาด และรับมือกับความผันผวนได้ดี
Core Portfolio – ควรเป็นสัดส่วนหลักประมาณ 60% ของพอร์ตทั้งหมด เน้นกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์และหลายภูมิภาค โดยเลือกตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ ซึ่งสามารถใช้กองทุนจากกลุ่ม WealthPLUS Series ได้ดังนี้:
- K-WPBALANCED: ลงทุนในหุ้น ~30% เหมาะกับเป้าหมายระยะสั้น หรือคนที่รับความเสี่ยงต่ำ
- K-WPSPEEDUP: ลงทุนในหุ้น ~65% เหมาะกับเป้าหมายระยะกลาง หรือคนที่รับความเสี่ยงปานกลาง
- K-WPULTIMATE: ลงทุนในหุ้น ~85% เหมาะกับเป้าหมายระยะยาว หรือคนที่รับความเสี่ยงสูง
Satellite Portfolio – เป็นส่วนเสริมเพื่อหาโอกาสในช่วงสั้น ๆ ตามธีมที่น่าสนใจ ตัวอย่างกองทุนที่น่าพิจารณาในตอนนี้ เช่น K-FIXEDPLUS, K-GINFRA, หรือ K-GHEALTH