อาการไข้หวัดใหญ่ VS ไข้หวัดธรรมดา ต่างอย่างไร?
เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูฝน โรคยอดฮิตประจำฤดูคงหนีไม่พ้น โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) โรคที่หลายคนคิดว่าไม่รุนแรง เพราะสามารถหายเองได้ แต่ในบางครั้งก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจนถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้นมาทำความรู้จักโรคไข้หวัดใหญ่ให้มากขึ้น อาการไข้หวัดใหญ่เป็นอย่างไร? มีวิธีป้องกันและรักษาอย่างไร? เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับหน้าฝนกันดีกว่า
ทำความเข้าใจอาการไข้หวัดใหญ่กับไข้หวัดธรรมดา
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) และไข้หวัดธรรมดา (Common Cold) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเกิดหายใจ ทำให้ลักษณะอาการมีความใกล้เคียงกัน จนทำให้ผู้ป่วยแยกโรคได้เองค่อนข้างยาก หากไม่ได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์ อย่างไรก็ตามทั้งสองโรคมีอาการเฉพาะที่แตกต่างกันอยู่บ้าง ดังต่อไปนี้
ไข้หวัดใหญ่อาการเป็นอย่างไร?
โรคไข้หวัดใหญ่ อาการมักเกิดขึ้นอย่างฉันพลันและรุนแรงว่าไข้หวัดธรรมดา โดยแบ่งอาการออกเป็น 2 ระดับคือ อาการทั่วไปของไข้หวัดใหญ่ และอาการที่ร้ายแรง ควรรีบพบแพทย์
อาการทั่วไปของไข้หวัดใหญ่
- มีไข้สูง อาจสูงถึง 40 องศาเซลเซียส
- หนาวสั่น และเหงื่อออก
- ปวดเมื่อยตามตัว และอ่อนเพลีย
- เจ็บคอและไอแห้ง โดยอาการไอจะรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา
- มีน้ำมูกและจาม
- ปวดตา
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้
- ผู้ป่วยที่เป็นเด็กอาจมีอาการท้องเสียและอาเจียนร่วมด้วย
อาการที่ร้ายแรงของไข้หวัดใหญ่
- หากมีอาการไข้หวัดใหญ่ดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที
- ปวดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง
- เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หายใจถี่
- มีอาการชัก
- โรคประจำตัวกำเริบหรือทรุดตัว
- ไอเยอะ มีเสมหะข้นสีเหลืองหรือเขียว
ไข้หวัดธรรมดาอาการเป็นอย่างไร?
โรคไข้หวัดธรรมดา จะมีอาการป่วยไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับอาการไข้หวัดใหญ่ สามารถหายเองได้ใน 3-4 วัน แต่สำหรับอาการน้ำมูกไหลอาจจะอยู่ได้ 1 สัปดาห์ พบบ่อยทั้งผู้ใหญ่และเด็ก โดยแบ่งอาการออกเป็น 2 ระดับคือ อาการทั่วไปของไข้หวัดธรรมดา และอาการที่ร้ายแรง ควรรีบพบแพทย์
อาการทั่วไปของไข้หวัดธรรมดา
- ไข้ต่ำ ไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส หรือไม่มีไข้
- มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลียเล็กน้อย
- น้ำมูกไหล คัดจมูก หายใจไม่สะดวก
- ไอ จาม เจ็บคอ
- เจ็บหน้าอก แต่ไม่รุนแรง
- ระคายเคืองตา หรือมีตาแดง
อาการที่ร้ายแรงของไข้หวัดธรรมดา
หากมีอาการไข้หวัดธรรมดาดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที
- น้ำมูกหรือเสลดมีสีเหลือง หรือเขียว ซึ่งเกิดจากการอักเสบแทรกซ้อนของเชื้อแบคทีเรีย
- เจ็บหน้าอกรุนแรง เหนื่อย หอบ หมดสติ โดยมักเกิดในผู้สูงอายุหรือผู้มีโรคประจำตัว
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A กับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B คืออะไร?
ไข้หวัดใหญ่จะแบ่งเป็น 3 สายพันธุ์หลัก คือ สายพันธุ์ A (Influenza A) สายพันธุ์ B (Influenza B) และสายพันธุ์ C (Influenza C) โดยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A กับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B (Influenza B) คือสายพันธุ์ที่พบบ่อยที่สุด โดยอาการไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A จะมีความรุนแรงมากที่สุด และสามารถระบาดได้ทั่วโลก ส่วนสายพันธุ์ B จะระบาดระดับภูมิภาค โดยจะเจริญเติบโตได้ดีในอากาศเย็น จึงมักระบาดในช่วงฤดูฝนและหนาว แต่อาการไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B จะรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์ A
ใครมีความเสี่ยงเป็นไข้หวัดใหญ่บ้าง?
คนที่มีความเสี่ยงเป็นไข้หวัดใหญ่ได้ง่าย แบ่งออกเป็น 7 กลุ่ม ดังนี้
- เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี เพราะเป็นช่วงที่ภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง ทำให้มีโอกาสติดเชื้อไวรัสได้ และมีอาการรุนแรง
- หญิงตั้งครรภ์ จะมีความเสถียรของภูมิคุ้มกันไม่แน่นอน มีโอกาสเป็นไข้หวัดใหญ่กว่าคนทั่วไปถึง 4 เท่า รวมถึงคุณแม่หลังคลอด 2 สัปดาห์
- ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ระบบภูมิคุ้มกันจะเริ่มเสื่อมถอยตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีโอกาสติดเชื้อและมีอาการที่รุนแรง
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด โรคไต ซึ่งผู้ป่วยโรคเหล่านี้จะมีโอกาสติดเชื้อและเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ง่าย
- ผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น
- ผู้ป่วยน้ำหนักเกิน 100 กิโลกรัม หรือน้ำหนักเกินมาตรฐาน BMI ส่งผลให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานหนัก เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- ผู้พิการทางสมอง การดูแลป้องกันตนเองอาจทำได้ไม่ดีเท่าคนทั่วไป ทำให้มีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่าย
วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่ด้วยตัวเอง
หากมีอาการไข้หวัดใหญ่ทั่วไป ไม่รุนแรงสามารถรักษาตามอาการที่บ้านได้ เช่น รับประทานยาลดไข้เมื่อมีไข้ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตามตัว รับประทานยาลดน้ำมูก ยาละลายเสมหะเมื่อมีน้ำมูก ดื่มน้ำให้เพียงพอ แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัดใหญ่รุนแรง แนะนำให้รีบพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยอาการอย่างใกล้ชิด
- ล้างมือเป็นประจำด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะก่อนและหลังรับประทานอาหาร
- ไม่ใช้มือสัมผัสตา จมูก และปาก
- ทำความสะอาดสิ่งของที่สัมผัสบ่อย
- หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่
- หากมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในบ้าน ควรแยกของใช้ให้ชัดเจน
- หลีกเลี่ยงการไปสถานที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
- ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรค
วิธีรักษาไข้หวัดใหญ่
หากมีอาการไข้หวัดใหญ่ทั่วไป ไม่รุนแรงสามารถรักษาตามอาการที่บ้านได้ เช่น รับประทานยาลดไข้เมื่อมีไข้ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตามตัว รับประทานยาลดน้ำมูก ยาละลายเสมหะเมื่อมีน้ำมูก ดื่มน้ำให้เพียงพอ แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัดใหญ่รุนแรง แนะนำให้รีบพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยอาการอย่างใกล้ชิด
อาการไข้หวัดใหญ่มีทั้งอาการทั่วไปที่สามารถหายเองได้ และอาการรุนแรงที่ต้องรีบพบแพทย์ ดังนั้นกันไว้ย่อมดีกว่าแก้ด้วยการปฏิบัติตามวิธีป้องกันโรคที่เราแนะนำไปข้างต้น นอกจากนี้ยังสามารถสร้างความอุ่นใจด้วยการซื้อประกันสุขภาพเพื่อช่วยแบ่งเบาค่ารักษาพยาบาล เพราะในการป่วยแต่ละครั้งเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะมีอาการเพียงเล็กน้อย พบแพทย์แล้วกลับบ้านได้เลย หรือมีอาการรุนแรงจนต้องนอนโรงพยาบาล แต่การมีประกันสุขภาพ คุณจะสามารถใช้สิทธิ์ได้ทั้งผู้ป่วยนอก OPD และผู้ป่วยใน IPD ตามแผนที่เลือก ช่วยบริหารความเสี่ยงด้านการเงินในยามที่เจ็บป่วย ไม่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่หนักอึ้ง อุ่นใจกว่าที่เคย
ช่วยค้นหาประกันที่ใช่
ดูแล คุ้มครองได้ตรงใจคุณ
เพียงเลือกสิ่งที่คุณสนใจ และให้เราเลือกประกัน
ที่เหมาะที่สุดสำหรับคุณ