Sign In

KBank Private Banking
02-8888811

Investment Advisory

ลงทุนอย่างไร เมื่อหุ้นไทยทะลุ 1700 จุด

11 กุมภาพันธ์ 2565

​ ท่ามกลางสภาวะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงกันเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เผชิญกับแรงเทขายนับตั้งแต่ต้นปี แต่ตลาดหุ้นไทยของเรากลับยืนได้อย่างแข็งแกร่งและปรับเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 3% มาสู่ระดับสูงกว่า 1700 จุด เอาชนะดัชนีตลาดหุ้นโลกได้อย่างขาดลอย MSCI All Country World Index ปรับตัวลงราว 3% (ข้อมูล ณ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2022) โดยปัจจัยหนุนที่ทำให้ SET Index โดดเด่นกว่าหุ้นที่อื่นในโลก ได้แก่

  1. หุ้นไทยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มหุ้นคุณค่า (Value) และหุ้นวัฎจักร (Cyclical) ถึงราว 80% ของมูลค่าตลาด เช่น กลุ่มพลังงาน ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และพาณิชย์ เป็นต้น ซึ่งหุ้นเหล่านี้มีอัตราการเติบโตในอนาคตค่อนข้างต่ำ ทำให้ยังเทรดที่ระดับราคา หรือ Valuation ที่ต่ำกว่าหุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูง (Growth) และได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นของดอกเบี้ยที่ใช้เป็นอัตราคิดลดในการประเมินมูลค่าจำกัด
  2. ได้รับผลกระทบจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติจำกัด เนื่องจาก สถานะการถือครองหุ้นไทยโดยนักลงทุนต่างชาติอยู่ในระดับต่ำที่เพียง 27% ของมูลค่าตลาด เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นไทยไปมากตั้งแต่ปี 2012 จากความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังไม่น่าสนใจเท่าประเทศอื่นในภูมิภาค
  3. ตลาดไทยมีหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีราว 25% ซึ่งได้อานิสงค์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ตั้งแต่ต้นปี ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเกือบ 20% ทำจุดสูงสุดในรอบ 7 ปี และนักวิเคราะห์หลายสำนักคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าการผลิต
  4. ภาพรวมเศรษฐกิจไทยถือว่าดูดีขึ้นจากปีที่แล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในกรอบ 2.8-3. 7% หนุนจากการท่องเที่ยวที่จะทยอยฟื้นตัวได้หลังจากที่ซบเซาไปกว่า 2 ปี และการส่งออกที่จะเติบโตได้ต่อเนื่อง รวมถึงเงินเฟ้อไทยที่ยังไม่สูงมากจนน่ากังวลเหมือนประเทศอื่นๆ ทำให้คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะคงดอกเบี้ยต่ำไปตลอดทั้งปี

โครงสร้างตลาดหุ้นไทย ที่กล่าวมาข้างต้น นับเป็นปัจจัยบวกระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เนื่องจาก หุ้นไทยสัดส่วนใหญ่ยังเป็นธุรกิจแบบดั้งเดิม ยังไม่เกาะไปกับกระแสหลักของโลก ยกตัวอย่างเช่น เรื่องสิ่งแวดล้อม แม้หุ้นกลุ่มพลังงานจะได้รับประโยชน์ในช่วงนี้ แต่ในอนาคตเมื่อทั่วโลกค่อยๆ เปลี่ยนไปใช้พลังงานทางเลือก หุ้นกลุ่มพลังงานก็จะน่าสนใจน้อยลง

SET Index ปัจจุบันอยู่สูงกว่าระดับเป้าหมายของบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยที่ 1680 จุด (คาดการณ์ ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์) ดังนั้น การลงทุนในกองทุนรวมที่บริหารให้ได้ผลตอบแทนล้อไปกับดัชนี หรือ Passive Index Fund จึงมีโอกาสได้ผลตอบแทนค่อนข้างน้อย แต่ในแง่ความเสี่ยงขาลงก็ค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว จากทั้งเรื่องโครงสร้างตลาดทุน ภาพรวมเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เงินเฟ้อต่ำ และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย คาดว่าปีนี้หุ้นไทยจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ไม่เพิ่มขึ้นแรง และไม่ลงแรงเช่นกัน

ท่ามกลางสภาวะตลาดแบบนี้ เราแนะนำลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์ (Structured Note) แบบ Knock In Knock Out (KIKO ) ที่เป็นการลงทุนในหุ้นกู้ ควบคู่ไปกับการขายอนุพันธ์แบบ Put Option โดยมีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นตะกร้าหุ้นไทย ที่ผ่านการคัดเลือกมาอย่างดีทั้งในแง่ของสภาพคล่อง ปัจจัยพื้นฐาน รวมถึงมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่ต้องอยู่ในระดับสมเหตุสมผล ในช่วงนี้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ราว 8-10% ต่อปี โดยอาจมากกว่าหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งความผันผวนของตระกร้าหุ้นอ้างอิง ระยะเวลาลงทุน และระดับ Knock In ซึ่งก็เปรียบเสมือนกรอบล่างที่ราคาหุ้นอ้างอิงสามารถปรับตัวลดลงไปได้ ก่อนที่นักลงทุนจะขาดทุนในส่วนของเงินต้น และหากนักลงทุนกำหนดระดับ Knock In ไว้ต่ำๆ ก็จะช่วยลดโอกาสขาดทุน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยผลตอบแทนที่ลดลง

แม้หุ้นไทยจะมีแนวโน้มชนะหุ้นโลกได้ในช่วงนี้ แต่ในระยะกลาง-ยาว ผลตอบแทนจะไม่สูงพอที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจำนวนมาก ด้านหุ้นต่างประเทศเองก็มีแนวโน้มถูกกดดันจากการเริ่มเข้มงวดนโยบายทางการเงินจากธนาคารกลางขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ FED ไปอีกสักพัก ดังนั้นหุ้นกู้อนุพันธ์แบบ KIKO จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุน ที่จะสร้างผลตอบแทนอันน่าพอใจ และเหมาะกับสภาวะตลาดเช่นนี้

TAGS : Thailand